เนื่องด้วยสถานการณ์ Covid-19 ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
บริษัทฯ จึงขอหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
บริษัทฯ จึงขอหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
คู่มือเที่ยว เวียดนาม ฉบับสมบูรณ์
เวียดนาม
เป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียนชื่อเต็มว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีอะไรที่น่าสนใจบ้างลองมาตามดูกัน
เนื้อหา
การปกครอง
เวียดนามมีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามตั้งแต่ปี 1975 เป็นการปกครองแบบสังคมนิยม โดย
เขตการปกครอง
เวียดนาม แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 59 จังหวัด และ 5 เทศบาลนคร โดย 5 เทศบาลนคร ประกอบด้วย ฮานอยโฮจิมินห์ไฮฟอง ดานัง และ เกิ่นเธอ
ประชากร
ทั้งประเทศขณะนี้ (2013) เวียดนามมีประชากรกว่า 89 ล้านคน ประกอบด้วยชาวเวียดนามกว่า 90% นอกนั้นเป็นชนชาติ จีน กัมพูชา ไทย จาม และ ชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ
สกุลเงิน
สกุลเงินของเวียดนามคือ ด่ง
โทรศัพท์
รหัสประเทศเวียดนาม คือ 84 การใช้โทรศัพท์สะดวกรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการติดต่อภายในประเทศหรือต่างประเทศ
หมายเลขโทรศัพท์ที่ควรรู้
วันหยุดประจำปี
ภาษา
ภาษาทางการคือภาษาเวียดนาม ภาษาที่มีจำนวนคนพูดเป็นอันดับรองลงมาคือ ภาษาเขมร และที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และ จีน
ตัวอย่างภาษา
ศาสนา
ชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธมาแต่ดั้งเดิม ประเทศเวียดนามไม่มีศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญเวียดนามบัญญัติให้ประชาชนมีเสรี ในการเลือกนับถือศาสนา แต่เมื่อจีนปกครองเวียดนามได้นำลัทธิขงจื้อเข้ามาเผยแพร่ รวมทั้งลัทธิการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษตามธรรมเนียมจีน นอกจากนั้นชาวเวียดนามยังนับถือลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธนิกายมหายาน
วัฒนธรรม
เวียดนามมีการผสมผสานด้านวัฒนธรรมจากหลายชนชาติ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 432 เวียดนามได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจากจักรพรรดิจีนนานกว่าพันปี และเมื่อสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฝรั่งเศสด้วย ดังนั้นวัฒนธรรมต่างๆของเวียดนามจึงมีการผสมผสานกันเป็นอย่างมากทั้งด้าน ที่อยู่อาศัย เทศกาล อาหาร เป็นต้น
เทศกาลเต็ด (Tet)
เทศกาลจะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะมีวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติคือ ระหว่างปลายเดือนมกราคม ถึง ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในวันขึ้น 15 ค่ำของวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาวกับวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองในภาพรวมทั้งหมดของความเชื่อในเทพเจ้าลัทธิเต๋า ขงจื๊อและศาสนาพุทธ รวมถึงการเคารพบรรพบุรุษ
เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง
สำหรับ เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง นับตามจันทรคติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านจัดประกวด ขนมบันตรังทู หรือ ขนมเปี๊ยะโก๋ญวน ทีมีรูปร่างกลม มีไส้ถั่วและไส้ผลไม้ พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระจันทร์ ซึ่งในบางหมู่บ้านอาจประดับโคมไฟพร้อมทั้งจัดงานขับร้องเพลงพื้นบ้าน
ชุดประจำชาติ
ชุดประจำชาติชาวเวียดนามเรียกว่า ชุดอ๋าวหญ่าย ซึ่งแปลว่าชุดยาว ส่วนมากจะนิยมใส่กันในเมืองใหญ่ๆ หรือเจ้าหน้าที่ๆ ต้อนรับชาวต่างชาติ เช่น ในสนามบิน นักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
เวลาทำการของขององค์กรรัฐและเอกชน
เนื่องจากแผ่นดินของเวียดนามมีความยาว ทำให้ลักษณะภูมิประเทศ และภูมิอากาศแตกต่างกันค่อนข้างมาก ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ภาคเหนือ
ภูมิประเทศ
ประกอบด้วยภูเขาสูง โดยเฉพาะเทือกเขาฟานสีปัน สูงจากระดับน้ำทะเล 3,143 เมตร สูงที่สุดในอินโดจีน และมีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำกุง ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแดงเป็น
ดินดอนสามเหลี่ยมที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและยังเป็นที่ตั้งของเมืองฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ภูมิอากาศในเขตภาคเหนือแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู
ภาคกลาง
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหิน ภูเขาไฟ หาดทราย เนินทราย และทะเลสาบ ภูมิอากาศในเขตภาคภาคกลาง 2 ฤดู
ภาคใต้
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง แต่ก็มีที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง หรือชื่อที่รู้จักคือ กู๋ลอง (Cuu Long) อันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม และเป็นที่ตั้งของกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ หรือ ไซ่ง่อน ภูมิอากาศค่อนข้างร้อน อุณหภูมิประมาณ 27 - 35 องศา มี 2 ฤดู คือ
เมืองหลวงและเมืองที่สำคัญ
กรุงฮานอย
ฮานอย หมายถึงตอนต้นของแม่น้ำ ตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม
นครโฮจิมินห์
เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม เดิมชื่อเมืองไซ่ง่อนและเป็นศูนย์กลางการค้า การสื่อสาร และการขนส่งของเวียดนา
มีสนามบินภายใน คือ สนามบินเว้ สนามบินดานัง สนามบินดาลัด สายการบินหลักภายในที่มีเที่ยวบินทุกวันจะเป็น เวียดนามแอร์ไลน์ ส่วนแอร์แม่โขงต้องเช็ครายละเอียดเรื่องวันและเวลาบินอีกครั้งหนึ่ง
สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวเวียดนามคงต้องแบ่งเป็นสามภาค คือ เวียดนามเหนือ เวียดนามกลาง เวียดนามใต้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ฮานอย
สุสานโฮจิมินห์
เป็นสถานท่องเที่ยวหลักที่นักท่องเที่ยวสนใจเข้าชมกันมากเป็นอาคารสุสานที่เก็บร่างของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งทางการเวียดนามได้ทำการตกแต่งบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีและน่าชมเป็นอย่างยิ่ง
บ้านพักประธานาธิบดีโฮจิมินห์
บ้านไม้ 2 ชั้นแบบใต้ถุนสูง ซึ่งจะเป็นทั้งที่ทำงาน รับแขก และ พักผ่อน ตัวบ้านยังคงได้รับการรักษาไว้เหมือนเพิ่งทำการสร้างเสร็จใหม่
วัดเจดีย์เสาเดี่ยว
วัดที่สร้างถวายแด่เจ้าแม่กวนอิมโดยมีตำนานที่เล่าขานว่า กษัตริย์ของเวียดนามพระองค์หนึ่งต้องการมีพระโอรสแต่ก็ไม่สามารถมีได้ คืนหนึ่งทรงสุบินเห็นเจ้าแม่กวนอิม และหลังจากนั้นพระองค์ได้พระโอรสสมใจ จึงได้สร้างวัดนี้ถวายแด่เจ้าแม่กวนอิมดังกล่าว
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์
เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ภายในอาคารมีรูปปั้นและชีวประวัติ สิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี ตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงการกอบกู้เอกราชให้กับประเทศเวียดนาม
สะพานแสงอาทิตย์ หรือ สะพานเทฮุก
สะพานสีแดง ที่พาดผ่านน้ำสีเขียวของนำในทะเลสาบคืนดาบ สะพานซึ่งนำไปสู่วัดหง็อกเซินชื่อของสะพานได้มาจาก สถานที่แสงอาทิตย์ส่องถึงในยามเช้า ซึ่ง เหงวียน วัน ซิว ผู้เป็นกวีและนักค้นคว้าวัฒนธรรมเวียดนามในช่วงศตวรรษที่ 19 สร้างไว้ เมื่อปี 1865 เวลาผ่านมาเกือบหนึ่งศตวรรษสะพานไม้ในสมัยก่อนได้ถูกเปลี่ยนเป็นปูนซีเมนต์โครงเหล็กแต่ยังคงทาสีแดงดังเช่นเดิม
โชว์หุ่นกระบอกน้ำ
ศิลปะการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ มีมากว่า 1,000 ปี ซึ่งยาวนานมากๆ ว่ากันว่า มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หลีในตศวรรษที่ 11 บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่แดงบริเวณที่ราบลุ่มต่ำ พื้นที่บริเวณนี้น้ำจะท่วมอยู่สม่ำเสมอทุกปี ช่วงที่น้ำท่วมชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา ต่างไม่รู้จะทำอะไร จึงคิดค้นศิลปะรูปแบบนี้ขึ้นมา
ถนน 36 สาย
ที่มาของชื่อถนน 36 สาย นั้นมาจาก 36 อาชีพอันเก่าแก่ที่ทำมาค้าขายกันในย่านนี้ มีประวัติยาวนานมากกว่า 600 ปี แต่ถนนสายนี้ก็ยังคึกคักไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่ต่างพร้อมใจกันมุ่งหน้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้านานาชนิด เช่น ของที่ระลึก ไหมพรม รองเท้า แกลเลอรี โคมไฟ เสื้อผ้า กระเป๋าและอื่นๆ
ซาปา Sa Pa
ซาปา เมืองเล็กๆในหุบเขาทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จุดหมายปลายทางแห่งการไปสัมผัสหิมะในฤดูหนาว ซาปาไม่ได้สวยเพียงแค่ฤดูหนาวเท่านั้น เพราะฤดูกาลอื่น ๆ ซาปาก็สวยสดงดงามมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน
หมู่บ้านกัตกัต
หมู่บ้านม้งดำนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองซาปา ห่างออกไปราว 3 กิโลเมตร คำว่า กั๊ต กั๊ต เป็นคำที่ใช้เรียกรถ 4-wheel drive ของพวกฝรั่งเศส ที่เข้ามาบุกเบิกทำกระแสไฟฟ้าพลังน้ำบริเวณน้ำตกที่มีสายน้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกันในหมู่บ้านแห่งนี้ ม้งดำเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของชาวม้ง คำว่า “ม้ง” (Hmong) เป็นชื่อที่ชาวม้งใช้เรียกตัวเอง กล่าวกันว่าหมายถึง “อิสระชน
บ้านตาแหวน
หมู่บ้านชนเผ่ากลุ่มน้อยอีกหมู่บ้านหนึ่งที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแต่จะเล็กกว่าหมู่บ้านกัตกัต
ตลาดเช้าซาปา
โดยทั่วไปจะลักษณะแบบตลาดผักผลไม้และของแห้ง เครื่องใช้ในครัวเรือน มีขายตลอดทั้งวัน
ตลาดบ่าย
เป็นตลาดขายของปิ้งย่างอยู่ตรงแยกทางขึ้นภูเขาแฮมลอง
โบสถ์คริสต์ และ Quang Truong Square
เป็นโบสถ์กลางใจเมีองซาปาแห่งเดียว ซึ่งด้านหน้าตัวโบสถ็จะเป็นลานกว้างช่วงบ่ายจะเป็นตลาดสินค้าชนเผ่า และเป็นลานเอนกประสงค์สำหรับทุกท่านได้มาออกกำลังกาย นั่งพักผ่อน ประการสำคัญเป็นที่จัดงานการแสดงต่างๆของเมืองซาปา
ภูเขาแฮมลอง
ฮามเรืองเป็นชื่อ สวนสาธารณะ ชื่อว่า Ham Rong จากนั้นก็เดินขั้นไปตามบันใดจนถึงจุดชมวิว ที่จะเห็นทิวทัศน์เมืองซาปารอบด้านบน ขึ้นไปแล้วจะเห็นว่างามเหมือนเมืองทางแถบยุโรปเลย นอกจากจุดชมวิวที่เห็นแล้วก็ยังมีสิ่งที่ น่าสนใจอื่นๆอีกหลายอย่าง เช่นสวนดอกไม้ สวนลูกท้อ จุดชมวิวอื่นๆ มีการแสดงของชาวเขา และขายชุดชาวเขาที่มีเกือบทุกเผ่าในเมืองซาปา
นาขั้นบันใด ซาปา
เนื่องจากสภาพพืั้นที่เป็นหุบเขาดังนั้นการเกษตรกรรม ต้องทำตามความลาดเอียงของภูเขา ทำให้สวยงามยาม
น้ำตกซิลเวอร์
น้ำตกซิลเวอร์ น้ำตกที่มีความงดงามทางธรรมชาติ โดยมีความสูงกว่าร้อยเมตร สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ด้วยความสวยงามของน้ำที่กำลังตกลงมาไหลลัดเลาะ แล้วลงมาสู่หน้าผาหินสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวอย่างมาก
Tram Ton Pass
จุดชมวิวที่สูงที่สุดในซาปาและเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเขตเวียดนามเหนือมีความสูงถึง 1,900 เมตร อยู่ในรอยต่อระหว่างจังหวัดลาวไกและจังหวัดไลเชาจาก Tram Ton Pass จะสามารถมองเห็นเทือกเขาฮวงเหลียนเซิน และภูเขาฟานสิปัน ภูเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้ได้อย่างชัดเจน
แฟนซิปัน Fansipan
ยอดเขาที่มีความสูงถึง 3,143 เมตรจากระดับน้ำทะเล หรือว่าสูงที่สุดในอินโดจีน บนยอดเขาฟานซิปันพอออกจากเคเบิ้ลคาร์แล้วก็จะเจอกับวิวที่บอกได้ว่า เป็นวิวที่ควรมาเห็นกับตา จุดนี้ไม่ถึงจุดสูงสุดหรือจุดพิชิตยอดเขาฟานซิปัน ต้องเดินทางขึ้นบันใดอีกนิดหน่อยเพื่อจุดสูงสุด
เว้ Hue
เมืองเว้ ตั้งอยู่ตอนกลางของเวียดนาม ริมฝั่งแม่น้ำหอม ห่างจากกรุงฮานอยไปทางใต้ประมาณ 540 กิโลเมตร และห่างจากนครโฮจิมินห์ไปทางเหนือประมาณ 644 กิโลเมตร สภาพภูมิอากาศค่อนข้างร้อนตลอดทั้งปี โดยรวมมีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน ช่วงปลายตุลาคม – เมษายน ส่วนฤดูฝน ตั้งแต่พฤษภาคม-ตุลาคม
พระราชวังเว้
อันเก่าแก่และสวยงาม นี้สร้างขึ้นตามแบบวัฒนธรรมจีน ตัวอย่างเช่นเขตพระราชฐานชั้นในหรือเรียกว่า นครต้องห้าม สถานที่ที่จักรพรรดิเบ๋าได่ทำการมอบตราพระราชลัญจกร อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจให้กับรัฐบาลสังคมนิยมเวียดนาม
สุสานจักรพรรดิ์ไคดิงห์
สร้างขึ้นบนเนินเขา ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 10 กิโลเมตร อดีต เว้ เป็นเมืองเอกของราชวงศ์เหงียน จักรพรรดิ์ไดคินห์ เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 12องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน หลังจากมีการขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากราษฏร ซึ่งส่วนใหญ่ยังยากจน และนำเงินส่วนหนึ่งของภาษีที่เก็บได้ ไปสร้างสุสานให้กับตนเองขณะที่ยังมีชีวิต เป็นเหตุให้ประชาชนไม่พอใจและเป็นที่มาของการสิ้นสุดราชวงศ์เหงียน
โบสถ์คริสต์ เมืองดานัง
หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน
อยู่ห่างจากดานังมาทางเส้นทางฮอยอันประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่มีอาชีพในการแกะสลักหินอ่อนมานานกว่า 300 ปี หินที่ใช้แกะสลักนำมาจากเขาที่อยู่ในบริเวณไกล้เคียงหมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันเหลือน้อยและต้องนำมาจากแหล่งอื่นๆด้วย
สะพานมังกร
เป็นสะพานที่สร้างข้ามแม่น่ำหานเชื่อมตัวเมืองดานัง ช่วงกลางสะพานออกแบบให้ดูสวยงามเป็นรูปมังกรโดยช่วงเวลากลางคืนจะการเล่นไฟสีแสงสลับดูสวยงาม
อุโมงค์ไห่วัน
อุโมงค์ไห่วัน ความหมายตามภาษาเวียดนาม แปลว่า ช่องเขาแห่งเมฆหมอก สร้างขึ้นเพื่อย่นระยะทางระหว่างเมืองเฮว้กับดานังให้สั้นลงโดยมีการสร้างอุโมงค์ลอดภูเขา อุโมงค์ไห่วานมีความยาว 7 กิโลเมตร ..
จุดชมวิวระหว่างเว้-ดานัง
การเดินทางระหว่างดานังสู่เว้ ช่วงขาไปจะเดินทางเลาะชายทะเลซึ่งจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามพร้อมแวะพักระหว่างทางของจุดชมวิวเป็นระยะ
ตลาด Cho Han
เป็นตลาดที่ มีสินค้าหลากหลายตั้งแต่พืชผักผลไม้สด แห้ง เครื่องใช้ต่างๆ จนกระทั่งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางมีให้เลือกซื้อและต่อรองตามความชอบ
ฮอยอัน เมืองมรดกโลก
ย่านเมืองเก่าฮอยอัน ได้รับการประกาศจาก องค์การยูเนสโก้ ให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงามและเก่ารวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่น
สะพานญี่ปุ่น
สะพานที่มีแบบฉบับในการสร้างที่โดดเด่น สร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นในพุทธศตวรรษที่ 23 ด้วยรูปทรงโค้งของตัวสะพานและหลังามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นลูกคลื่นที่ต่อเชื่อมระหว่างเขตชุมชนชาวจีนและญี่ปุ่น
สมาคมฟุกเกี๋ยน
วัดที่นับเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันหรือโฮ่ยอาน ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388 - 2428 ถือเป็นสมาคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน โดยพื้นที่สมาคมใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากมณฑลฟุกเกี๋ยนที่มีพื้นเพและแซ่เดียวกัน เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษในตระกูลของตน
บ้านโบราณอายุ 200 ปี
บ้านเลขที่ 101 ซึ่งเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่ 2 ชั้น และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 รุ่นภายในแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับประโยชน์การใช้สอยที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ห้องสมุด ห้องรับแขก และห้องครัว การเยี่ยมชมบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลต่างๆ บนถนนเส้นนี้ถือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ บ้านเก่าแก่ที่ยังคงความงดงาม ซึ่งมีอยู่หลายหลัง
แม่น้ำทูโบน
แม่น้ำที่เป็นหลักในการหล่อเลี้ยงเมืองฮอยอันทั้งทางด้านเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะยามเย็นสองฟากฝั่งจะคราคร่ำไปด้วยชาวฮอยอันและนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ยามเย็นไม่ต้องไปทานข้าวที่ใหนสองฝั่งมีร้านอาหารอร่อยๆให้บริการพอเพียงกับนักท่องเที่ยว
ล่องเรือคะกร้า Bamboo basket boat
หนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไป ฮอยอันในอดีตนั้น เรือตะกร้า เอาไว้ใช้ขนของระหว่างเรือลำใหญ่ ลักษณะจะเป็นตระกร้าไม้ไผ่สานครึ่งวงกลม ทาน้ำยาเคลือบกันน้ำ ในปัจจุบันนำมาใช้ในการท่องเที่ยว พานักท่องเที่ยวนั่งเรือตะกร้า ล่องไปตามแม่น้ำชมระบบนิเวศน์และธรรมชาติ
โฮจิมินห์ Ho Chi Minh City
ชื่อเดิมเรียกว่า ไซ่ง่อน Saigon เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ทางเวียดนามตอนใต้และเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ ในอดีตเมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามใต้ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังจากการรวมประเทศจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโฮจิมินห์ตามชื่อของผู้นำเพื่อเอกราชเวียดนามคือประธานาธิยดีโฮจิมินห์
อดีตทำเนียบประธานาธิบดี
สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ใช้เป็นกองบัญชาการทหาร สถานที่ประชุมผู้นำคนสำคัญ และนำชมห้องบัญชาการลับต่างๆ ภายในทำเนียบ
พิพิธภัณฑ์สงคราม
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมหลักฐานของความโหดร้ายของสงครามในเวียดนาม เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนโฮจิมินห์ ซิตี้ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ถนน Vo Van Tan หน้าพิพิธภัณฑ์มีอาวุธสงครามตั้งแต่แสดงอยู่หลายชิ้น เช่น เครื่องบินรบ ปืนใหญ่ และเครื่องกิโยตินที่ใช้ตัดคอนักโทษฝรั่งเศสที่นำมาใช้ในเวียดนามข้างในพิพิธภัณฑ์แสดงรูปถ่ายและประจักษ์พยานของความเหี้ยมโหดทารุณของสงครามที่ได้เกิดขึ้นในเวียดนาม
โบสถ์นอร์ทเทอดาม
ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์อื่นๆ เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย
จตุรัสโฮจิมินห์
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็กๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง สวยงามในสไตล์ฝรั่งเศส
อุโมงค์กู๋จี
เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเวียดนามที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมาเยือน อยู่ห่างจากโฮจิมินห์ ซิตี้ เพียง 70 กิโลเมตร เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ในการสู้รบระหว่างทหารของเวียดกง กับ ทหารอเมริกัน และพันธมิตรโดยทหารเวียดกง ใช้ยุทธวิธีสู้รบด้วยการขุดอุโมงค์ใต้ดินเป็นที่ซ่อนตัวและ อุโมงค์นี้ขุดโดยชาวบ้านที่มีเพียงจอบเสียมเป็นเครื่องมือ ค่อย ๆ ขุดดินแล้วใส่ตะกร้าลำเลียงออกมาทิ้งข้างนอกทุกวัน สร้างเส้นทางใต้ดินเชื่อมติดต่อกันเป็นโครงข่ายกว้างขวาง ความยาวถึง 250 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่าแสนไร่
ล่องเรือแม่น้ำไซง่อน
หวุงเต่า
เมืองชายทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากไซ่ง่อน เดินทางสะดวกมีชายหาดที่ยาวมากและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง
พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ์เบ๋าได๋
เป็นที่ประทับหลังเสร็จสิ้นภาระกิจในช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ชมจะเป็นของดั้งเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ชุดรับแขก ชุดพักผ่อน นั่งเล่น การเข้าชมจะมีพลาสติกใส่คลุมรองเท้า เพื่อป้องกันการสึกกร่อนของพื้นและรักษาความสะอาด
Whale Temple
ตามเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เป็นการสร้างวัดเพื่อเก็บกระดูกปลาวาฬ ที่ได้ช่วยเหลือและป้องกันชาวประมง ให้พ้นจากอันตรายทั้งหลายขณะออกหาปลา ภายในวัดจะมีตู้ใส่กระดูกปลาวาฬไว้เพื่อระลึกถึงความดี
Christ Hill
เป็นรูปอนุเสาวรีย์พระเยซู ยืนกางแขนตระหง่านบนเนินเขาด้านในตัวพระเยซูจะโล่งมีบันใดขึ้นสู่ด้านบนที่เดินทางสวนกันได้ สามารถขึ้นได้ถึงส่วนบ่า และยืนดูวิวชายหาดชายทะเลหวุงเต่าได้อย่างสวยงาม แต่การเดินทางขึ้นไปนั้นต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแรงพอสมควร
สวนสนุกบนยอดเขา
เป็นการสร้างจุดท่องเที่ยวให้น่าสนใจโดยจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขา และมีเครื่องเล่นต่างไว้สำหรับนักท่องเที่ยวได้สนุกสนานกัน
ดาลัด
เป็นเมืองทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 18 ถึง 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในเมืองดาลัด คือ 27 องศาเซลเซียส และต่ำสุดคือ 6.5 องศาเซลเซียส ชาวฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมสร้างเป็นเมืองพักตากอากาศในปี พ.ศ. 2453 บรรยากาศบ้านเมือง เนื่องจากสภาพอากาศมีความหนาวเย็นตลอดทั้งปี ตึกอาคารจึงถูกออกแบบสไตล์ยุโรป และมีแม่น้ำอยู่กลางเมือง ทำให้บรรยากาศเมืองนี้โรแมนติกสมคำร่ำลือ
น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall)
อยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร น้ำตกแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีความสวยงามและหลายชั้น มีความสูง ประมาณ 20 เมตร ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี
เนื่องด้วยสภาพโดยรอบเป็นป่าเขาจึงมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวอยู่ตลอดเวลา
สวนดอกไม้เมืองหนาว (Flower Park)
สร้างขึ้นในปี 2509 ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบซวนเฮืองใจกลางเมืองดาลัด สวนแห่งนี้ จะได้พบพรรณไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น และกล้วยไม้ รวมไปถึงดอกไม้กว่า 300 สายพันธุ์ ที่ผลัดกันเบ่งบานในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปในรอบปี หากท่านไปเยือนสวนแห่งนี้ในช่วงเวลาใดๆก็ตาม ท่านจะได้พบกับดอกไม้สวยๆ หลากสีสัน
ภูเขาลังเบียง (Langbiang Mountain)
ตั้งอยู่ภาคตะวันออกของเมืองดาลัด ห่างจากเมืองดาลัด 12 กิโลเมตร จะทำให้คุณได้เห็นทัศนียภาพที่งดงามของป่าสนสีเขียวชอุ่ม ทะเลสาบที่ระยิบระยับเป็นประกายเมืองที่น่าหลงใหล ไปจนถึงหมู่บ้านต่างๆ ด้านล่าง ใช้เวลาในการชมทัศนียภาพอันงดงามและเก็บภาพสักสองสาม
รูปบนจุดชมวิว ณ เรดาร์พีค
บ้านเพี้ยน (Crazy House)
หรือฮังหงา (Hang Nga) ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนิทานเรื่อง อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์ (Alice in Wonderland) เป็นบ้านต้นไม้ที่ไม่ได้สร้างจากไม้ทั้งหมดซะทีเดียว
เพราะบางส่วนสร้างขึ้นจากคอนกรีตและวัสดุอื่นๆ เพื่อความแข็งแรงและง่ายต่อการดัดแปลงโครงสร้าง
พระราชวัง (King Palace)
พระราชวังแห่งนี้ เป็น 1 ใน 3 ของพระราชวังองค์จักรพรรดิ์เบ๋าได๋ ซึ่งเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน (ราชวงศ์สุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเวียดนาม) ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ใครอยากชมว่าห้องนอนกษัตย์เป็นอย่างไรก็ห้ามพลาดที่นี่เลยทีเดียวนอกจากนั้นในตอนท้าย นักท่องเที่ยวยังมีโอกาสแต่งตัวเป็นกษัตริย์และราชินีเพื่อถ่ายรูปเก๋ๆ (มีค่าใช้จ่าย
หุบเขาแห่งความรัก (Valley Of Love)
ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 กม. สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองดาลัด เนื่องจากความสวยงามทางทัศนียภาพและความโรแมนติกของสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ด้วยความงดงามของหุบเขาที่ล้อมรอบไปด้วยป่าสนอันสวยงาม และยังมีทะเลสาบดาเทียน (Da Thien Lake) อันเงียบสงบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1972 ทำให้หุบเขาแห่งนี้มีเสน่ห์มากขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมธรรมชาติไปตามเส้นทางโดยรอบๆ หุบเข
หมู่บ้านดอกไม้วันทัญ (Van Thanh Flower Village)
เป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่ผู้คนส่วนใหญ่ปลูกดอกไม้ขาย ที่นี่จึงมีสวนดอกไม้ที่จัดว่าใหญ่มาก รวมพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ และเป็นแหล่งดอกไม้ส่วนใหญ่ของเมืองดาลัด นอกจากดอกไม้นานาพันธ์แล้ว ยังมี ผัก ผลไม้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมพร้อมทั้งมีของที่ระลึกจำหน่าย
น้ำตกช้าง (Elephant Waterfall)
น้ำตกธรรมชาติที่มีผาหินลดหลั่นกันมาอย่างยิ่งใหญ่ การท่องเที่ยวน้ำตกแห่งนี้จะต้องเดินลงไปยังด้านล่างถึงจะสามารถมองเห็นตัวน้ำตกได้อย่างชัดเจนเพราะโซนที่เราจอดรถจะเป็นด้านบนของน้ำตก เวลาเดินลงก็ต้องระมัดระวัง เนื่องจากมีความลาดชันและมีโขดหินมาก แนะนำให้ใส่รองเท้าที่แน่นและพื้นไม่ลื่น
วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda)
วัดพุทธในนิกายเซนแบบญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนเทือกเขาเฟืองฮว่าง ประมาณ 10 กม. จากดาลัด ภายในบริเวณวัดนอกจากจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีการจัดทัศนียภาพโดยรอบด้วยสวนดอกไม้ที่ผลิดอกบานสะพรั่ง นับได้ว่าเป็นวิหาร ที่ได้รับความนิยมและงดงามที่สุดในเมืองดาลัด โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการนั่งกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ขึ้นไปชมภาพบรรยากาศจากบนที่สูงได้
น้ำตกเพรนน์ (Prenn Waterfall)
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งในเมืองดาลัด อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมความสวยงามด้านบนน้ำตก มีกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ให้บริการ หรือท่านสามารถเดินเท้าด้วยตนเอง ก็จะได้สัมผัสธรรมชาติ และสนุกสนานกับการปีนเขาชมวิว ซึ่งใช้เวลาไม่นาน
วัดเจดีย์มังกร (Chua Linh Phuoc)
วัดศาสนาพุทธนิกายเซนแห่งนี้ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดประมาณ 7 กิโลเมตร มีอีกชื่อเรียกว่า "วัดเจดีย์มังกร" เพราะมีเจดีย์มังกรขนาด 1 ชั้น ความสูง 37 เมตร โดดเด่นและงดงามด้วยลวดลายกระเบื้องเคลือบสุดวิจิตร นอกจากนั้นยังมีวิหารเจ้าแม่กวนอิม ให้นักท่องเที่ยวได้แวะสักการะและขอพร
มุยเน่ Mune'
เมืองตากอากาศชั้นดีของประเทศเวียดนาม ไม่ควรพลาดชายหาดและทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล ในภูมิภาคภาคกลางตอนใต้ ของเวียดนามห่างจากเมืองโฮจิมินห์ ประมาณ 230 กิโลเมตร โดยรถใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
ทะเลทรายขาว
ทะลทรายขาวหรือ White Sandune เนินทราย ที่ใหญ่ที่สุดของ มุยเน่ อยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน มุยเน่ 30 กม ทะเลทรายขาว (Doi Cat Trang) กองภูเขาทรายสีขาว ซึ่งใหญ่ที่สุดของมุยเน่ มี Sand Dune หรือ ภูเขาทรายสูงกว่า 40 เมตร ทำให้คนที่ขึ้นไปยืนบนยอดเนินทราย กลายเป็นมดไปเลยทีเดียว
ทะเลทรายแดง
ทะเลทรายอีกแห่ง ของมุยเน่ แต่ทรายกลับเป็นสีแดง ยิ่งยามเช้าๆ ฟ้าใสๆ จะตัดกับทรายสีแดง ทำให้แป๊ด ขึ้นมาเลยทีเดียว ทะเลทรายแดง นั้นอยู่ไม่ห่างจากฝั่งทะเลมากนัก ที่นี่จะมีเด็กๆชาวเวียดนามพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก คอยตามตื้อให้บริการกระดานเลื่อนสนนราคาค่าบริการต้องต่อรองกันเอง
แฟรี่สตรีม (ธารน้ำนางฟ้า)
เป็นโตรกผาของลำธาร หากมองจากมุมสูงจะสวยมาก จะเป็นลำธารน้ำตื้นๆ สามารถเดินลุยน้ำเย็นๆชมธรรมชาติที่แปลกตา ระยะทางที่เดินเล่นประมาณ 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง แฟรี่สตรีมนี้เกิดจากลำธารเล็กๆ ไหลผ่านภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย เซาะเป็นร่องโตรกว้างกว่า 20 เมตร เปิดให้เห็นชั้นดิน และทรายหลากสี ดูแล้วแปลกตาดีไม่น้อยเลย
หมู่บ้านชาวประะมง
จะเป็นส่วนของชายหาดที่ชาวประมงกลับจากหาปลาเพื่อนำปลามาขายส่งตลาดและลูกค้ทั่วไป
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเดินทาง
เป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียนชื่อเต็มว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีอะไรที่น่าสนใจบ้างลองมาตามดูกัน

- ข้อมูลทั่วไป
- ลักษณะภูมิอากาศ
- เมืองหลวงและเมืองที่สำคัญ
- การเดินทาง
- สถานที่ท่องเที่ยว
- ฮานอย
- สุสานโฮจิมินห์
- บ้านพักประธานาธิบดีโฮจิมินห์
- วัดเจดีย์เสาเดี่ยว
- พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์
- วิหารวรรณกรรม
- สะพานเทฮุก หรือ สะพานแสงอาทิตย์
- ฮาลองเบย์
- ฮาลองบก
- วัดธูปหอม (Perfume Pagoda)
- โชว์หุ่นกระบอกน้ำ
- ถนน 36 สาย
- ซาปา
- หมู่บ้านกัตกัต
- ตลาดเช้าซาปา
- ตลาดบ่าย
- ตลาดชนเผ่า & โบสถ์เมืองซาปา
- ภูเขาแฮมลอง
- นาขั้นบันใดซาปา
- น้ำตกซิลเวอร์
- Tram Ton Pass
- แฟนซิปัน
- เว้
- พระราชวังเว้
- สุสานจักรพรรดิ์ไคดิงห์
- สุสานจักร์พรรดิ์มินหมาง
- วัดเทียนมู่
- ล่องเรือมังกร
- ตลาดดองบา
- ดานัง
- บาน่าฮิลล์
- วัดลินห์อึ๋ง
- หมี่เซิน มรดกโลกแห่งเวียดนาม
- พิพิธภัณฑ์จาม
- Museum of Danang
- โบสถ์คริสต์ เมืองดานัง
- หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน
- สะพานมังกร
- อุโมงค์ไห่วัน
- จุดชมวิวระหว่างเว้-ดานัง
- ตลาด Cho Han
- ฮอยอัน
- สะพานญี่ปุ่น
- สมาคมฟุกเกี๋ยน
- บ้านโบราณอายุ 200 ปี
- แม่น้ำทูโบน
- ล่องเรือตะกร้า
- โฮจิมินห์ หรือ ไซง่อน
- อดีตทำเนียบประธานาธิบดี
- พิพิธภัณฑ์สงคราม
- ไปรษณีย์กลางเวียดนาม
- โบสถ์นอร์ทเทอดาม
- จตุรัสโฮจิมินห์
- อุโมงค์กู๋จี
- ล่องเรือแม่น้ำไซง่อน
- หวุงเต่า
- พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ์ เบ๋าได๋
- Whale Temple
- Christ Hill
- สวนสนุกบนยอดเขา
- ดาลัด
- น้ำตกดาลันทา
- สวนดอกไม้เมืองหนาว
- ภูเขาลังเบียง
- Crazy House
- พระราชวัง (King Palace)
- หุบเขาแห่งความรัก
- หมู่บ้านดอกไม้วันทัญ
- น้ำตกช้าง
- วัดตั๊กลัม
- น้ำตกเพรนน์
- วัดเจดีย์มังกร
- มุยเน่ ฟานเทียต
- ทะเลทรายขาว
- ทะเลทรายแดง
- แฟรี่สตรีม
- หมู่บ้านชาวประะมง
- สิ่งที่ควรรู้ก่อนเดินทาง
- แพ็คเกจทัวร์เวียดนาม
การปกครอง
เวียดนามมีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามตั้งแต่ปี 1975 เป็นการปกครองแบบสังคมนิยม โดย
- ประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ มีหน้าที่ดูแลนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการทหารและรักษาความสงบของประเทศ
- นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการร่างกฎหมายและการปกครอง
- เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ทำหน้าที่ดำเนินนโยบายภายในประเทศ ที่ถูกวางโดยพรรคคณะรัฐบาลซึ่งคัดเลือกมาจากสมาชิกสภาแห่งชาติ

แผนที่ประเทศเวียดนาม
ที่ตั้ง อาณาเขต และพื้นที่
- ทิศเหนือ
ติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นระยะทาง 1,281 กิโลเมตร - ทิศใต้
ติดกับทะเลจีนใต้ - ทิศตะวันตก
ติดกับประเทศลาว ระยะทาง 2,130 กิโลเมตร กัมพูชา ระยะทาง 1,228 กิโลเมตรและอ่าวไทย - ทิศตะวันออก
ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทะเลจีนใต้ - พื้นที่
เวียดนาม มีพื้นที่ 331,033 ตารางกิโลเมตร หรือ คิดเป็น 0.645 เท่าของ ประเทศไทยเป็นประเทศมี ลักษณะเป็นแนวยาว โดยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,750 กิโลเมตร ขนานไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ ยังมีไหล่เขาและหมู่เกาะต่างๆ อีกนับพันเกาะเรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าสไทย
เขตการปกครอง
เวียดนาม แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 59 จังหวัด และ 5 เทศบาลนคร โดย 5 เทศบาลนคร ประกอบด้วย ฮานอยโฮจิมินห์ไฮฟอง ดานัง และ เกิ่นเธอ
ประชากร
ทั้งประเทศขณะนี้ (2013) เวียดนามมีประชากรกว่า 89 ล้านคน ประกอบด้วยชาวเวียดนามกว่า 90% นอกนั้นเป็นชนชาติ จีน กัมพูชา ไทย จาม และ ชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ
สกุลเงิน
สกุลเงินของเวียดนามคือ ด่ง
โทรศัพท์
รหัสประเทศเวียดนาม คือ 84 การใช้โทรศัพท์สะดวกรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการติดต่อภายในประเทศหรือต่างประเทศ
หมายเลขโทรศัพท์ที่ควรรู้
- ตำรวจ 113
- ดับเพลิง 114
- รถพยาบาล 115
- สอบถามข้อมูลทั่วไป 1080
วันหยุดประจำปี
- 01 มกราคม วันขึ้นปีใหม่
- 03 กุมภาพันธ์ วันสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
- 08 มีนาคม วันสตรีแห่งชาติ
- 26 มีนาคม วันเยาวชนแห่งชาติ
- 30 เมษายน วันปลดแอกกรุงไซง่อน
- 01 พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติ
- 07 พฤษภาคม วันได้รับชัยชนะเหนือฝรั่งเศส
- 19 พฤษภาคม วันเกิด โฮจิมินห์
- 01 มิถุนายน วันเด็ก
- 27 กรกฎาคม วันรำลึกถึงผู้เสียสละชีวิตในสงคราม
- 19 สิงหาคม วันแห่งการปฎิวัติ
- 02 กันยายน วันชาติ
- 20 พฤศจิกายน วันครู
- 22 ธันวาคม วันกองทัพเวียดนาม
ภาษา
ภาษาทางการคือภาษาเวียดนาม ภาษาที่มีจำนวนคนพูดเป็นอันดับรองลงมาคือ ภาษาเขมร และที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และ จีน
ตัวอย่างภาษา
ซินจ่าว - สวัสดี | กามเอิน - ขอบคุณ | ซินโหลย - ขอโทษ | บั๊ค โก แคว คง - สบายดีหรือ |
กาม เอิง บิง เทือง - สบายดี ขอบคุณ | ตามเบียด - ลาก่อน | แฮน กับ ไล - พบกันใหม่ | ยา ฮาง อัน - ร้านอาหาร |
ยา เว ซิง เอ๋อ เดา - ห้องน้ำอยู่ใหน | เนิ้ก ดา - น้ำแข็ง | เนิ้ก โซย - น้ำปล่า | เนิ้ก กำ ดา - น้ำแข็งเปล่า |
ฉ่า ด๋า - น้ำแข็งใส่น้ำชา | เฝอ - ก๋วยเตี๋ยว | กา เฝ่า - กาแฟ | แจ่ - ชา |
เบีย - เบียร์ | เกิม - ข้าวสวย | จ๋าว - ข้าวต้ม | แบ๋ง มี่ - ขนมปัง |
เอิ้ก - พริก | หมง - ช้อน | เนี้ย - ส้อม | แหยม แย้ - ลดอีก |
อัน เอี่ยว แอม - พี่รักน้อง | อัน ทิด แอม - พี่ชอบน้อง | คง ก้อ เตี่ยน - ไม่มีตังค์ | บาว เยียว - ราคาเท่าไหร่ |
บุ เดี๋ยน เอ๋อ ด๋าว - ไปรษณีย์อยู่ไหน | แดป - สวยงาม | แดป หลำ - สวยมาก | แดป จ๋าย - หล่อมาก |
เตี่ยน - เงิน | ติ้ง เตี่ยน - คิดเงิน | โตย - ผม | โตย ด๊อย โหย่ย - ฉันหิวแล้ว |
กวั่น เบน จ๊าย - เลี้ยวซ้าย | กวั่น เบน ฝาย - เลี้ยวขวา | ดี ถัง - ตรงไป | ตั๊ค - แพง |
ตั๊ด หลำ - แพงมาก | เหล๋ - ถูก | โค้ง ทิด - ไม่ชอบ | หยา จอ โตย แหยๆ - ลดให้ผมมากหน่อย |
ถิด บ่อ - เนื้อวัว | กา - ไก่ | ก๊า - ปลา | โตม - กุ้ง |
กัว - ปู | จิม - นก | แฮว - หมู |
ศาสนา
ชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธมาแต่ดั้งเดิม ประเทศเวียดนามไม่มีศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญเวียดนามบัญญัติให้ประชาชนมีเสรี ในการเลือกนับถือศาสนา แต่เมื่อจีนปกครองเวียดนามได้นำลัทธิขงจื้อเข้ามาเผยแพร่ รวมทั้งลัทธิการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษตามธรรมเนียมจีน นอกจากนั้นชาวเวียดนามยังนับถือลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธนิกายมหายาน

เวียดนามมีการผสมผสานด้านวัฒนธรรมจากหลายชนชาติ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 432 เวียดนามได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจากจักรพรรดิจีนนานกว่าพันปี และเมื่อสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฝรั่งเศสด้วย ดังนั้นวัฒนธรรมต่างๆของเวียดนามจึงมีการผสมผสานกันเป็นอย่างมากทั้งด้าน ที่อยู่อาศัย เทศกาล อาหาร เป็นต้น

เทศกาลจะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะมีวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติคือ ระหว่างปลายเดือนมกราคม ถึง ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในวันขึ้น 15 ค่ำของวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาวกับวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองในภาพรวมทั้งหมดของความเชื่อในเทพเจ้าลัทธิเต๋า ขงจื๊อและศาสนาพุทธ รวมถึงการเคารพบรรพบุรุษ

สำหรับ เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง นับตามจันทรคติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านจัดประกวด ขนมบันตรังทู หรือ ขนมเปี๊ยะโก๋ญวน ทีมีรูปร่างกลม มีไส้ถั่วและไส้ผลไม้ พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระจันทร์ ซึ่งในบางหมู่บ้านอาจประดับโคมไฟพร้อมทั้งจัดงานขับร้องเพลงพื้นบ้าน

ชุดประจำชาติชาวเวียดนามเรียกว่า ชุดอ๋าวหญ่าย ซึ่งแปลว่าชุดยาว ส่วนมากจะนิยมใส่กันในเมืองใหญ่ๆ หรือเจ้าหน้าที่ๆ ต้อนรับชาวต่างชาติ เช่น ในสนามบิน นักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

- หน่วยงานราชการ สำนักงาน และองค์กรให้บริการสาธารณสุข
8.00 – 16.30 น. ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้บริการวันเสาร์อีกครึ่งวัน - ร้านค้าเอกชนทั่วไป
ให้บริการระหว่าง 6.00 – 18.30 น. - ธนาคารพาณิชย์
ให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 น. (หยุดพักเวลา 12.00 – 13.00 น.) - สำนักงานไปรษณีย์โทรเลข
ให้บริการ ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น. - โรงงานอุตสาหกรรม
ทำงานวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันเสาร์อีกครึ่งวัน โดยเวลาทำงานรวมไม่เกิน 48 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หากเกินจากนี้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา สำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่ม 2 เท่า และวันหยุดนักขัตฤกษ์จ่ายเพิ่ม 3 เท่า
เนื่องจากแผ่นดินของเวียดนามมีความยาว ทำให้ลักษณะภูมิประเทศ และภูมิอากาศแตกต่างกันค่อนข้างมาก ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ภาคเหนือ

เมืองซาปา (จุดชมวิวแฮมลอง)
ประกอบด้วยภูเขาสูง โดยเฉพาะเทือกเขาฟานสีปัน สูงจากระดับน้ำทะเล 3,143 เมตร สูงที่สุดในอินโดจีน และมีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำกุง ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแดงเป็น
ดินดอนสามเหลี่ยมที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและยังเป็นที่ตั้งของเมืองฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ภูมิอากาศในเขตภาคเหนือแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู
- ฤดูหนาว เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
มีอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 7 - 20 องศาเซลเซียส และจะหนาวที่สุดในเดือนมกราคม - ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-เมษายน
จะมีฝนตกเล็กน้อยและชุ่มชื้น อุณหภูมิประมาณ 17 - 23 องศาเซลเซียส - ฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม
สภาพอากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิ 30 - 39 องศาเซลเซียส - ฤดูใบไม้ร่วง เดือนกันยายน-พฤศจิกายน
อุณหภูมิประมาณ 23 - 28 องศาเซลเซียส
ภาคกลาง

- ฤดูฝน พฤษภาคม-ตุลาคม
เดือนที่อากาศร้อนที่สุดคือ มิถุนายน-กรกฎาคม อุณหภูมิเกือบ 40 องศา - ฤดูแล้ง ตุลาคม-เมษายน
เดือนที่อากาศเย็นที่สุด คือ มกราคม อุณหภูมิเกือบ 20 องศา
ภาคใต้

- ฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน)
เดือนที่ร้อนที่สุดคือ เดือนเมษายน อุณหภูมิประมาณ 39 องศา - ฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน-เมษายน)
เดือนที่อากาศเย็นที่สุดคือ มกราคม อุณหภูมิประมาณ 26 องศา
เมืองหลวงและเมืองที่สำคัญ
กรุงฮานอย
ฮานอย หมายถึงตอนต้นของแม่น้ำ ตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม

สุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์
นครโฮจิมินห์
เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม เดิมชื่อเมืองไซ่ง่อนและเป็นศูนย์กลางการค้า การสื่อสาร และการขนส่งของเวียดนา

ไปรษณีย์กลางที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
ดานัง
เป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางของวัฒนธรรมที่อยู่อาศัยที่เป็นที่รู้จักของโลก มีท่าเรือและท่าอากาศยานนานาชาติ เมืองดานังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตั้งอยู่บนแม่น้ำหาน มีอ่าวดานังซึ่งมีหาดทรายยาวมากอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองหนี่งของเวียดนามกลาง
เป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางของวัฒนธรรมที่อยู่อาศัยที่เป็นที่รู้จักของโลก มีท่าเรือและท่าอากาศยานนานาชาติ เมืองดานังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตั้งอยู่บนแม่น้ำหาน มีอ่าวดานังซึ่งมีหาดทรายยาวมากอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองหนี่งของเวียดนามกลาง

ไฮฟอง
เป็นเมืองที่อยู่ทางภาคเหนือ มีท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากท่าเรือนครโฮจิมินห์ ห่างจากนครฮานอยเมืองหลวง 105 กม. ตัวเมืองไฮฟอง ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำ Cua Cam River ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของแม่น้ำแดงและ มีท่าเรือไฮฟองเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุด
การเดินทาง
การเดินทางระหว่างประเทศ
เวียดนามมีสนามบินนานาชาติอยู่ 10 แห่ง คือ สนามบินนอยใบ กรุงฮานอย และ สนามบิน เตินเซินเญิ้ต โฮจิมินห์ ญาจาง ฟูโกว๊ก เว้ ไฮฟอง ดานัง ดาลัท จูลาย และเกิ่นเธอ หากเดินทางจากประเทศไทย สามารถเดินทางได้ดังนี้.
เป็นเมืองที่อยู่ทางภาคเหนือ มีท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากท่าเรือนครโฮจิมินห์ ห่างจากนครฮานอยเมืองหลวง 105 กม. ตัวเมืองไฮฟอง ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำ Cua Cam River ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของแม่น้ำแดงและ มีท่าเรือไฮฟองเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุด

การเดินทางระหว่างประเทศ
เวียดนามมีสนามบินนานาชาติอยู่ 10 แห่ง คือ สนามบินนอยใบ กรุงฮานอย และ สนามบิน เตินเซินเญิ้ต โฮจิมินห์ ญาจาง ฟูโกว๊ก เว้ ไฮฟอง ดานัง ดาลัท จูลาย และเกิ่นเธอ หากเดินทางจากประเทศไทย สามารถเดินทางได้ดังนี้.
- กรุงเทพฯ - ฮานอย , กรุงเทพฯ - โฮจิมินห์ , กรุงเทพฯ - ดานัง , กรุงเทพฯ - ดาลัท , กรุงเทพฯ- ฟูโกว๊ก , กรุงเทพ - ญาจาง , กรุงเทพฯ - ไฮฟอง
มีสนามบินภายใน คือ สนามบินเว้ สนามบินดานัง สนามบินดาลัด สายการบินหลักภายในที่มีเที่ยวบินทุกวันจะเป็น เวียดนามแอร์ไลน์ ส่วนแอร์แม่โขงต้องเช็ครายละเอียดเรื่องวันและเวลาบินอีกครั้งหนึ่ง
สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวเวียดนามคงต้องแบ่งเป็นสามภาค คือ เวียดนามเหนือ เวียดนามกลาง เวียดนามใต้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ฮานอย
สุสานโฮจิมินห์
เป็นสถานท่องเที่ยวหลักที่นักท่องเที่ยวสนใจเข้าชมกันมากเป็นอาคารสุสานที่เก็บร่างของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งทางการเวียดนามได้ทำการตกแต่งบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีและน่าชมเป็นอย่างยิ่ง

สุสานอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์
บ้านไม้ 2 ชั้นแบบใต้ถุนสูง ซึ่งจะเป็นทั้งที่ทำงาน รับแขก และ พักผ่อน ตัวบ้านยังคงได้รับการรักษาไว้เหมือนเพิ่งทำการสร้างเสร็จใหม่

ยังคงมีการซ่อมแซมรักษาสภาพไว้เป็นอย่างดี

ด้านข้างมีการป้องกันแสงแดดทำลายตัวฝาผนัง
วัดที่สร้างถวายแด่เจ้าแม่กวนอิมโดยมีตำนานที่เล่าขานว่า กษัตริย์ของเวียดนามพระองค์หนึ่งต้องการมีพระโอรสแต่ก็ไม่สามารถมีได้ คืนหนึ่งทรงสุบินเห็นเจ้าแม่กวนอิม และหลังจากนั้นพระองค์ได้พระโอรสสมใจ จึงได้สร้างวัดนี้ถวายแด่เจ้าแม่กวนอิมดังกล่าว

สมัยก่อนจะเป็นสระบัวเมื่อการรักษาไม่ดีพอดอกบัวไม่มีแล้ว
เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ภายในอาคารมีรูปปั้นและชีวประวัติ สิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี ตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงการกอบกู้เอกราชให้กับประเทศเวียดนาม

ด้านหน้าทางเข้าจะมีรูปหล่อของอดีตประธานาธิบดีโชว์อยู่

แสดงเกี่ยวกับการอญู่อาศัยในสมัยสงคราม

เครื่องใช้ของอดีตประธานาธิบดี
สะพานสีแดง ที่พาดผ่านน้ำสีเขียวของนำในทะเลสาบคืนดาบ สะพานซึ่งนำไปสู่วัดหง็อกเซินชื่อของสะพานได้มาจาก สถานที่แสงอาทิตย์ส่องถึงในยามเช้า ซึ่ง เหงวียน วัน ซิว ผู้เป็นกวีและนักค้นคว้าวัฒนธรรมเวียดนามในช่วงศตวรรษที่ 19 สร้างไว้ เมื่อปี 1865 เวลาผ่านมาเกือบหนึ่งศตวรรษสะพานไม้ในสมัยก่อนได้ถูกเปลี่ยนเป็นปูนซีเมนต์โครงเหล็กแต่ยังคงทาสีแดงดังเช่นเดิม

สะพานสีแดงสั้นๆแต่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

ใช้เวลานิดเดียวเดินข้ามสะพานสู่วัดหง๊อกเซิ่น

เต่ายักษ์หนึ่งในสองตัวที่อยู่ในทะเลสาบคืนดาบ
วิหารวรรณกรรม
ในอดีตระยะเวลากว่าร้อยปี วัดแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่สอบจ้อหงวน เพื่อเป็นขุนนางในสมัยโบราณ จึงถูกขนานนามว่า เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม ซึ่งหลักฐานที่ปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบันคือ ป้ายหินที่สลักชื่อของผู้ที่สอบผ่านเป็นจ้อหงวนตั้งอยู่บนหลังเต่าภายในวัดแห่งนี้ และมีความเชื่อถึงปัจจุบันที่นักเรียน นักศึกษายังนิยมไปขอพรก่อนที่จะเข้าทำการสอบ หรือนักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาจะมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
ในอดีตระยะเวลากว่าร้อยปี วัดแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่สอบจ้อหงวน เพื่อเป็นขุนนางในสมัยโบราณ จึงถูกขนานนามว่า เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม ซึ่งหลักฐานที่ปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบันคือ ป้ายหินที่สลักชื่อของผู้ที่สอบผ่านเป็นจ้อหงวนตั้งอยู่บนหลังเต่าภายในวัดแห่งนี้ และมีความเชื่อถึงปัจจุบันที่นักเรียน นักศึกษายังนิยมไปขอพรก่อนที่จะเข้าทำการสอบ หรือนักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาจะมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

ซุ้มประตูทางเข้าของวิหารวรรณกรรม

น่าจะเป็นอาคารเรียนสมัยนั้นเปลี่ยนเป็นที่ขายของที่ระลึก

แผ่นจารึกชื่อผู้ที่สอบผ่านเป็นจอหงวนตั้งอยู่บนหลังเต่า
ฮาลองเบย์
อ่าวที่มีเกาะหินปูนจำนวนกว่า 1900 เกาะโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำทะเลทั้งใหญ่และเล็ก มีรูปร่างที่แตกต่างกัน บางเกาะมีถ้ำอยู่ด้วย ถ้ำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือ ถ้ำเสาไม้ เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ที่ท่าเทียบเรือมีเรือคอยให้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้อยลำ ทั้งล่องแบบธรรมดาประมาณ 4 ชั่วโมง และพักค้างคืนในทะเล
อ่าวที่มีเกาะหินปูนจำนวนกว่า 1900 เกาะโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำทะเลทั้งใหญ่และเล็ก มีรูปร่างที่แตกต่างกัน บางเกาะมีถ้ำอยู่ด้วย ถ้ำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือ ถ้ำเสาไม้ เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ที่ท่าเทียบเรือมีเรือคอยให้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้อยลำ ทั้งล่องแบบธรรมดาประมาณ 4 ชั่วโมง และพักค้างคืนในทะเล

เรือระหว่างจอดรอนักท่องเที่ยวที่อ่าวฮาลอง

ระหว่างการล่องเรือสภาพอากาศไม่แน่นอนช่วงกลางเดือนมีนาคม

หินงอกหินย้อยแสงสีภายในถ้ำตกแต่งสวยงาม

เกาะไก่ชน สัญลักษณ์ของฮาลองเบย์
ฮาลองบก
หรือนิงบิงห์เป็นจังหวัดหนึ่งของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 110 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือวัดที่อายุกว่าร้อยปี 2 วัด หลังจากชมวัดแล้ว หากเป็นชาวต่างประเทศจะถีบจักรยานไปยังท่าเรือ เพื่อชมธรรมชาติระหว่าง การล่องเรือที่ฮาลองบกนี้เป็นการล่องเรือพายนั่งได้ 4 คน ชมธรรมชาติทุ่งนา ป่าเขาสวยงาม ระหว่างนั่งเรือต้องเตรียมหมวกหรือร่มกันแดด ซึ่งการล่องเรือนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
หรือนิงบิงห์เป็นจังหวัดหนึ่งของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 110 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือวัดที่อายุกว่าร้อยปี 2 วัด หลังจากชมวัดแล้ว หากเป็นชาวต่างประเทศจะถีบจักรยานไปยังท่าเรือ เพื่อชมธรรมชาติระหว่าง การล่องเรือที่ฮาลองบกนี้เป็นการล่องเรือพายนั่งได้ 4 คน ชมธรรมชาติทุ่งนา ป่าเขาสวยงาม ระหว่างนั่งเรือต้องเตรียมหมวกหรือร่มกันแดด ซึ่งการล่องเรือนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

จุดลงเรือที่ท่าเทียบเรือการจัดการยังไม่ดีเท่าที่ควร

การภายเรือที่นี่จะใช้เท้าพาย

ฝีพายนั่งพายแบบสบายๆระหว่างการให้บริการ
วัดธูปหอม (Perfume Pagoda)
อยู่ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 60 กิโลเมตร แต่จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษเป็นการท่อเที่ยวชมธรรมชาติ ซึ่งการดินทางทั้งนั่งเรือพาย ขึ้นกระเช้าเป็นการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทัวร์จากกรุงฮานอย
อยู่ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 60 กิโลเมตร แต่จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษเป็นการท่อเที่ยวชมธรรมชาติ ซึ่งการดินทางทั้งนั่งเรือพาย ขึ้นกระเช้าเป็นการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทัวร์จากกรุงฮานอย

ท่าเทียบเรือสำหรับไปวัดเจดีย์หอม

ทัศนียภาพอันสวยงามสองฟากฝั่ง

พอถึงท่าเรือจะเข้าชมวัดโบราณก่อนสวยงาม

ก่อนขึ้นกระเช้าสู่วัดธูปหอมต้องทานอาหารกลางวันก่อน

ทานอาหารเสร็จนั่งกระเช้าสู่วัดถ้ำธูปหอม

สุดท้ายก็ถึงวัดถ้ำพบว่าเจดีย์หินตั้งอยู่ที่ปากถ้ำเลย
ศิลปะการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ มีมากว่า 1,000 ปี ซึ่งยาวนานมากๆ ว่ากันว่า มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หลีในตศวรรษที่ 11 บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่แดงบริเวณที่ราบลุ่มต่ำ พื้นที่บริเวณนี้น้ำจะท่วมอยู่สม่ำเสมอทุกปี ช่วงที่น้ำท่วมชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา ต่างไม่รู้จะทำอะไร จึงคิดค้นศิลปะรูปแบบนี้ขึ้นมา

ตัวแสดงที่เป็นผู้ชักหุ่นกระบอกน้ำ

ระหว่างการแสดงผู้ชักจะอยู่หลังม่าน
ที่มาของชื่อถนน 36 สาย นั้นมาจาก 36 อาชีพอันเก่าแก่ที่ทำมาค้าขายกันในย่านนี้ มีประวัติยาวนานมากกว่า 600 ปี แต่ถนนสายนี้ก็ยังคึกคักไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่ต่างพร้อมใจกันมุ่งหน้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้านานาชนิด เช่น ของที่ระลึก ไหมพรม รองเท้า แกลเลอรี โคมไฟ เสื้อผ้า กระเป๋าและอื่นๆ

ส่วนนี้จะเป็นร้านรองเท้าซึ่งทุกร้านจะขายเหมือนกัน

ส่วนถนนนี้จะเป็นจำพวกเสื้อผ้า และเครื่องกันหนาว
ซาปา เมืองเล็กๆในหุบเขาทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จุดหมายปลายทางแห่งการไปสัมผัสหิมะในฤดูหนาว ซาปาไม่ได้สวยเพียงแค่ฤดูหนาวเท่านั้น เพราะฤดูกาลอื่น ๆ ซาปาก็สวยสดงดงามมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน

ความสวยงามเมื่อพระอาทิตย์สาดส่องยามท้องฟ้าเต็มด้วยหมอก
หมู่บ้านม้งดำนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองซาปา ห่างออกไปราว 3 กิโลเมตร คำว่า กั๊ต กั๊ต เป็นคำที่ใช้เรียกรถ 4-wheel drive ของพวกฝรั่งเศส ที่เข้ามาบุกเบิกทำกระแสไฟฟ้าพลังน้ำบริเวณน้ำตกที่มีสายน้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกันในหมู่บ้านแห่งนี้ ม้งดำเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของชาวม้ง คำว่า “ม้ง” (Hmong) เป็นชื่อที่ชาวม้งใช้เรียกตัวเอง กล่าวกันว่าหมายถึง “อิสระชน

ซุ้มทางเข้าหมู่บ้านสถานที่ถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทย

ทางเดินรอบหมู่บ้านซึ่งไม่กว้างนักตามใหล่เขา

นักท่องเที่ยวจะหยุดชม ซื้อกันไประหว่างเดินเที่ยว

บางช่วงก็ต้องเดินลงเนินบ้าง

น้ำตกที่จุดพักผ่อนหลังจากนี้อีกทางหนึ่งเพื่อออกสู่หน้าหมู่บ้าน
หมู่บ้านชนเผ่ากลุ่มน้อยอีกหมู่บ้านหนึ่งที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแต่จะเล็กกว่าหมู่บ้านกัตกัต

สะพานทางเข้าหมู่บ้านเป็นทั้งทางเข้าและออก

เมื่อมีนักท่องเที่ยวก็จะเห็นนักขายที่ตื้อมากๆ เค้าบอกว่าห้ามถาม

เป็นข้าวเหนียวที่คลุกด้วยฟักข้าว ..ขอบอกว่าอร่อยครับ
โดยทั่วไปจะลักษณะแบบตลาดผักผลไม้และของแห้ง เครื่องใช้ในครัวเรือน มีขายตลอดทั้งวัน

ผลไม้สดๆน่ากินมาก

อาหารเช้าเบาๆลุยๆหน่อยอร่อยใช่เล่น
เป็นตลาดขายของปิ้งย่างอยู่ตรงแยกทางขึ้นภูเขาแฮมลอง

อาหารกินเล่นประเภทไม้เสียบเห็นแล้วต้องชิม

ซุ้มประตูทางขึ้นเขาแฮมลอง
เป็นโบสถ์กลางใจเมีองซาปาแห่งเดียว ซึ่งด้านหน้าตัวโบสถ็จะเป็นลานกว้างช่วงบ่ายจะเป็นตลาดสินค้าชนเผ่า และเป็นลานเอนกประสงค์สำหรับทุกท่านได้มาออกกำลังกาย นั่งพักผ่อน ประการสำคัญเป็นที่จัดงานการแสดงต่างๆของเมืองซาปา

โบสถ์หินกลางใจเมืองซาปา ในช่วงเวลากลางคืนมีแสงสีสวยงาม

ด้านหน้าโบสถ์คล้ายกับลานคนเมืองเป็นสถานที่พักผ่อนออกกำลัง

ส่วนด้านบนช่วงเย็นจะเป็นตลาดชนเผ่า

ช่วงเย็นจะมีชาวเมืองมาออกำลังกายกัน ส่วนที่เป็นเวทีจะเป็นที่แสดงเวลามีงานเทศกาลการ
ฮามเรืองเป็นชื่อ สวนสาธารณะ ชื่อว่า Ham Rong จากนั้นก็เดินขั้นไปตามบันใดจนถึงจุดชมวิว ที่จะเห็นทิวทัศน์เมืองซาปารอบด้านบน ขึ้นไปแล้วจะเห็นว่างามเหมือนเมืองทางแถบยุโรปเลย นอกจากจุดชมวิวที่เห็นแล้วก็ยังมีสิ่งที่ น่าสนใจอื่นๆอีกหลายอย่าง เช่นสวนดอกไม้ สวนลูกท้อ จุดชมวิวอื่นๆ มีการแสดงของชาวเขา และขายชุดชาวเขาที่มีเกือบทุกเผ่าในเมืองซาปา

ประตูทางขึ้นเขาแฮมลอง

ช่วงเดือนมีนาคมยังมีหมอกลงบรรยากาศก็ดีไปอีกแบบหนึ่งคือไม่ร้อน

แต่เมื่อขึ้นถึงจุดชมวิวเมืองจะะมองไม่เห็นอะไรเลย

แต่ถ้าหากฟ้าสดใสวิวจะสวยมากๆ

มองเห็นทะเลหมอกลอยผ่านเมืองซาปา ช่วงถ่ายเป็นเดือนมกราคม

แม้แดดจะออกแต่อากาศยังคงหนาวเย็น
เนื่องจากสภาพพืั้นที่เป็นหุบเขาดังนั้นการเกษตรกรรม ต้องทำตามความลาดเอียงของภูเขา ทำให้สวยงามยาม

เป็นช่วงที่ชาวนาหว่านเมล็ดข้าว

นาขั้นบันใดที่หมู่บ้านตาแหวน
น้ำตกซิลเวอร์ น้ำตกที่มีความงดงามทางธรรมชาติ โดยมีความสูงกว่าร้อยเมตร สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ด้วยความสวยงามของน้ำที่กำลังตกลงมาไหลลัดเลาะ แล้วลงมาสู่หน้าผาหินสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวอย่างมาก

จุดชมวิวที่สูงที่สุดในซาปาและเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเขตเวียดนามเหนือมีความสูงถึง 1,900 เมตร อยู่ในรอยต่อระหว่างจังหวัดลาวไกและจังหวัดไลเชาจาก Tram Ton Pass จะสามารถมองเห็นเทือกเขาฮวงเหลียนเซิน และภูเขาฟานสิปัน ภูเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้ได้อย่างชัดเจน

ยอดเขาที่มีความสูงถึง 3,143 เมตรจากระดับน้ำทะเล หรือว่าสูงที่สุดในอินโดจีน บนยอดเขาฟานซิปันพอออกจากเคเบิ้ลคาร์แล้วก็จะเจอกับวิวที่บอกได้ว่า เป็นวิวที่ควรมาเห็นกับตา จุดนี้ไม่ถึงจุดสูงสุดหรือจุดพิชิตยอดเขาฟานซิปัน ต้องเดินทางขึ้นบันใดอีกนิดหน่อยเพื่อจุดสูงสุด

ป้ายจุดสูงสุดที 3,143 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
เมืองเว้ ตั้งอยู่ตอนกลางของเวียดนาม ริมฝั่งแม่น้ำหอม ห่างจากกรุงฮานอยไปทางใต้ประมาณ 540 กิโลเมตร และห่างจากนครโฮจิมินห์ไปทางเหนือประมาณ 644 กิโลเมตร สภาพภูมิอากาศค่อนข้างร้อนตลอดทั้งปี โดยรวมมีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน ช่วงปลายตุลาคม – เมษายน ส่วนฤดูฝน ตั้งแต่พฤษภาคม-ตุลาคม

ส่วนของประตูทางออกพระราชวังเว้
อันเก่าแก่และสวยงาม นี้สร้างขึ้นตามแบบวัฒนธรรมจีน ตัวอย่างเช่นเขตพระราชฐานชั้นในหรือเรียกว่า นครต้องห้าม สถานที่ที่จักรพรรดิเบ๋าได่ทำการมอบตราพระราชลัญจกร อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจให้กับรัฐบาลสังคมนิยมเวียดนาม

ด้านหน้าทางเข้าชมโบราณสถานพระราชวังเว้

พระที่นั่งของจักพรรดิ์สมัยนั้น

ส่วนของพิพิธภัณฑ์ และที่ฉายภาพยนต์ประวัติของพระราชวัง

ท้องพระโรงส่วนที่อยู่หลังสุดของวัง ..และสัญญาลักษณ์ตราประทับ
สร้างขึ้นบนเนินเขา ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 10 กิโลเมตร อดีต เว้ เป็นเมืองเอกของราชวงศ์เหงียน จักรพรรดิ์ไดคินห์ เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 12องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน หลังจากมีการขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากราษฏร ซึ่งส่วนใหญ่ยังยากจน และนำเงินส่วนหนึ่งของภาษีที่เก็บได้ ไปสร้างสุสานให้กับตนเองขณะที่ยังมีชีวิต เป็นเหตุให้ประชาชนไม่พอใจและเป็นที่มาของการสิ้นสุดราชวงศ์เหงียน

หุ่นทหารและอาคารด้านหน้าสุสาน

ส่วนตัวอาคารด้านหน้าสุสานบางส่วนจะเป็นเซรามิก

ด้านในอาคารตกแต่งสวยงาม...ต้องขอบอกว่าสวยจริงๆ

ส่วนที่สวยที่สุดของตัวอาคารทั้งหมดอยู่ตรงนี้
สุสานจักรพรรดิมินห์มาง
สุสานแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2383 ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ 1 ปี และสร้างเสร็จ โดยพระเจ้าเถี่ยวตรี รัชทายาทของพระองค์ในปี พ.ศ. 2386 พระเจ้ามิงห์หม่างเป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้ายาลอง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 2 ในราชวงศ์เหวียน ทรงได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการที่ปฏิรูปขนบธรรมเนียมประเพณีและเกษตรกรรม โดยยึดมั่นในแบบแผนการบริหาร การปกครองตามแบบจีน รวมทั้งนโยบายต่อต้านฝรั่งเศสและปราบปรามพวกนอกศาสนาอย่างรุนแรง เป็นหตุให้เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
วัดเทียนมู่
อยู่ที่เมืองเว้ ริมฝั่งแม่น้ำหอม เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน มีเจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นหมายถึงภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ภายในบริเวณ
วัดมีศิลาจารึก และ ระฆังสำริดขนาดใหญ่ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเมื่อ พ.ศ. 2506 เจ้าอาวาสชื่อ พระภิกษุทิกกวางหยุก วัดเทียนมู่นี้ได้ประท้วงรัฐบาลโดยการเผาตัวเอ
ล่องเรือมังกร
ที่เรียกว่าเรือมังกรคงเป็นเพราะว่าชาวเวียดนามให้ความเคารพนับถือมังกรมาก ซึ่งคอยปกป้องคุ้มครองเวียดนามจากการรุกรานของข้าศึกที่อ่าวฮาลองเบย์ เลยทำหัวเรือเป็นรูปของ
หัวมังกร ส่วนตัวเรือก็เหมือนปกติทั่วไปที่พิเศษ สำหรับการล่องเรือจะเป็นการแสดงศิลปพื้นเมืองและการร้องเพลงพื้นบ้าน การเล่นเครื่องคนตรีของชาวเมืองเว้
ตลาดดองบา
เป็นตลาดขนาดใหญ่ ที่มีสินค้าให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวได้ช้อปมากมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทย ช้อปกันจนแม่ค้าทั้งหลายพูดภาษาไทยได้ สินค้าส่วนใหญ่จะมาจากจีนส่วนจำพวกอาหารแห้งเช่นปลาหมึก กุ้งแห้ง ราคาจะถูกกว่าตลาดในเมืองไทย
ดานัง Danang
ดินแดนยุโรปแห่งเอเชีย เมืองที่กำลังมาแรงในตอนนี้ หากมาเที่ยวดานังสักครั้ง คุณจะประทับใจไม่แพ้เมืองดังๆของเวียดนามอย่างแน่นอน จุดเด่นของดานังคือเป็นเมืองท่าติดทะเลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม ทำให้จุดเช็กอินของเมืองดานังหนีไม่พ้นทะเลสวย
ชายหาดสีขาวทอดยาว รวมถึงเทือกเขาน้อยใหญ่ แถมยังไม่วุ่นวายเท่าเมืองใหญ่ๆอีกด้วย
บานาฮิลส์ Ba Na Hills
เป็นทั้งสวนสนุก สวนดอกไม้ ร้านอาหาร และรีสอร์ทสุดหรูที่ถูกเนรมิตในสไตล์หมู่บ้านฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนเขาสูงถึง 1,487 เมตร จากระดับน้ำทะเลแต่รับรองได้เลยว่าคุ้มค่าสุดๆ เพราะตั้งแต่จะต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปบนยอดเขา ด้วยระยะทางมากถึง 5,801 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดของโลกขณะนี้
วัดลินห์อึ๋ง Linh Ung Temple
รูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่า 67 เมตร ยืนเด่นเป็นสง่าหันหลังให้ภูเขาและหันหน้าออกสู่ทะเลนั้น เป็นศาสนสถานที่เรียกได้ว่าสวยที่สุดในดานังก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งคงเพราะรูปปั้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในวัดหลินอึ๋ง บนเกาะเซินตร่าทางเหนือของดานัง สามารถมองเห็นวิวทะเลและวิวภูเขาได้ในคราวเดียวกัน
หมี่เซิน มรดกโลกแห่งเวียดนาม
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หมีเซิน สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูและจัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน
Museum of Danang

ศาลาด้านหน้าทางเข้าก่อนเข้าสู่สุสาน

อีกหนึ่งศาลาที่มีลักษณะคล้ายวิหาร..เมื่อออกจากศาลาก็จะถึงสุสาน

ตัวสุสานจะไม่อนุญาติให้เข้าไปชมด้านใน
อยู่ที่เมืองเว้ ริมฝั่งแม่น้ำหอม เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน มีเจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นหมายถึงภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ภายในบริเวณ
วัดมีศิลาจารึก และ ระฆังสำริดขนาดใหญ่ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเมื่อ พ.ศ. 2506 เจ้าอาวาสชื่อ พระภิกษุทิกกวางหยุก วัดเทียนมู่นี้ได้ประท้วงรัฐบาลโดยการเผาตัวเอ

ด้านหลังเป็นเจดีย์ที่มีชื่อเสียงของวัด

สันนิฐานว่าเป็นที่บรรจุกระดูกท่านเจ้าอาวาส

ตัววิหารทีอยู่ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป
ที่เรียกว่าเรือมังกรคงเป็นเพราะว่าชาวเวียดนามให้ความเคารพนับถือมังกรมาก ซึ่งคอยปกป้องคุ้มครองเวียดนามจากการรุกรานของข้าศึกที่อ่าวฮาลองเบย์ เลยทำหัวเรือเป็นรูปของ
หัวมังกร ส่วนตัวเรือก็เหมือนปกติทั่วไปที่พิเศษ สำหรับการล่องเรือจะเป็นการแสดงศิลปพื้นเมืองและการร้องเพลงพื้นบ้าน การเล่นเครื่องคนตรีของชาวเมืองเว้

เรือมังกรขณะล่องเรือทานข้าวตอนกลางวัน

งานมีน้อยเลยต้องจอดเทียบท่ารอนักท่องเที่ยว
เป็นตลาดขนาดใหญ่ ที่มีสินค้าให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวได้ช้อปมากมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทย ช้อปกันจนแม่ค้าทั้งหลายพูดภาษาไทยได้ สินค้าส่วนใหญ่จะมาจากจีนส่วนจำพวกอาหารแห้งเช่นปลาหมึก กุ้งแห้ง ราคาจะถูกกว่าตลาดในเมืองไทย

สารพัดสินค้าหาซื้อได้ที่นี่ แม่ค้าสื่อสารภาษาไทยได้คล่องด้วย
ดินแดนยุโรปแห่งเอเชีย เมืองที่กำลังมาแรงในตอนนี้ หากมาเที่ยวดานังสักครั้ง คุณจะประทับใจไม่แพ้เมืองดังๆของเวียดนามอย่างแน่นอน จุดเด่นของดานังคือเป็นเมืองท่าติดทะเลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม ทำให้จุดเช็กอินของเมืองดานังหนีไม่พ้นทะเลสวย
ชายหาดสีขาวทอดยาว รวมถึงเทือกเขาน้อยใหญ่ แถมยังไม่วุ่นวายเท่าเมืองใหญ่ๆอีกด้วย

ทางเดินเล่น สวนหย่อม ช่วงเวลาค่ำคืนริมแม่น้ำฮัน
เป็นทั้งสวนสนุก สวนดอกไม้ ร้านอาหาร และรีสอร์ทสุดหรูที่ถูกเนรมิตในสไตล์หมู่บ้านฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนเขาสูงถึง 1,487 เมตร จากระดับน้ำทะเลแต่รับรองได้เลยว่าคุ้มค่าสุดๆ เพราะตั้งแต่จะต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปบนยอดเขา ด้วยระยะทางมากถึง 5,801 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดของโลกขณะนี้

ส่วนอาคารด้านหน้าก่อนเดินเข้าไปขึ้นกระเช้า

ตัวสถานีกระเช้านั่งได้ประมาณ 8 คน ต่อกระเช้า

พอออกจากกระเช้าจะเห็นลานถ่ายรูปเลย

ส่วนของตึกที่เป็นโรงแรมที่พัก

เมื่อเดินขึ้นไปอีกช่วงจะเป็นศาลามีพระพุทธรูป

เครื่องเล่นของสวนสนุกในร่ม
รูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่า 67 เมตร ยืนเด่นเป็นสง่าหันหลังให้ภูเขาและหันหน้าออกสู่ทะเลนั้น เป็นศาสนสถานที่เรียกได้ว่าสวยที่สุดในดานังก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งคงเพราะรูปปั้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในวัดหลินอึ๋ง บนเกาะเซินตร่าทางเหนือของดานัง สามารถมองเห็นวิวทะเลและวิวภูเขาได้ในคราวเดียวกัน

ซุ้มประตูทำได้สวยงามมาก

เข้ามาอีกนิดจะเป็นสวนบอนไซ

เจ้าแม่กวนอิมยืนหันหน้าออกสู่ทะเลพร้อมให้พรชาวเมืองดานัง

ซุ้มประตูด้านหน้าส่วนที่ติดกับชายหาด

เรือชาวประมงชายฝั่งจอดหลังจากการหาปลาด้านหน้าเจ้าแม่กวนอิม
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หมีเซิน สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูและจัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน

ลักษณะเป็นโบสถ์อาคารหลักของหมี่เซิน

ภาพแกะสลักผนังที่ยังคงสภาพสมบูรณ์

ส่วนภายในอาคารจะมีรูปปั้นพระพุทธรูปและส่วนอื่นๆที่เป็นของเดิม

อาคารกลุ่มบางส่วนที่ยังแข็งแรงเข้าชมด้านในได้
พิพิธภัณฑ์จาม
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงความเป็นมาของชนชาติจาม ได้จัดสร้างขึ้นโดยสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2479 และ นิทรรศการที่จัดแสดงนี้ สะท้อนถึงยุคสมัยทั้ง 4 ยุค ตามแหล่งกำเนิดของอารยธรรมได้แก่ หมี่เซิน ตราเกียว ด่งเดืองและทาพเมิน
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงความเป็นมาของชนชาติจาม ได้จัดสร้างขึ้นโดยสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2479 และ นิทรรศการที่จัดแสดงนี้ สะท้อนถึงยุคสมัยทั้ง 4 ยุค ตามแหล่งกำเนิดของอารยธรรมได้แก่ หมี่เซิน ตราเกียว ด่งเดืองและทาพเมิน

ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ที่แสดงประวัติอารยะธรรมของชาวจามในสมัยโบราณ

ศิวะลึงค์อันใหญ่ตามความเชื่อท่แสดงในพิพิธภัณฑ์

ของใช้โบราณที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์

เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ควรค่าแก่การเข้าชม





อยู่ห่างจากดานังมาทางเส้นทางฮอยอันประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่มีอาชีพในการแกะสลักหินอ่อนมานานกว่า 300 ปี หินที่ใช้แกะสลักนำมาจากเขาที่อยู่ในบริเวณไกล้เคียงหมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันเหลือน้อยและต้องนำมาจากแหล่งอื่นๆด้วย



ผลิตภัณฑ์ที่แกะสลักมาจากหินอ่อนที่วางจำหน่าย
เป็นสะพานที่สร้างข้ามแม่น่ำหานเชื่อมตัวเมืองดานัง ช่วงกลางสะพานออกแบบให้ดูสวยงามเป็นรูปมังกรโดยช่วงเวลากลางคืนจะการเล่นไฟสีแสงสลับดูสวยงาม

กลางวันจะเป็นสีเหลืองสีตามความเป็นจริง

ส่วนเวลากลางคืนจะมีการเล่นแสงสีดูสวยงาม
อุโมงค์ไห่วัน ความหมายตามภาษาเวียดนาม แปลว่า ช่องเขาแห่งเมฆหมอก สร้างขึ้นเพื่อย่นระยะทางระหว่างเมืองเฮว้กับดานังให้สั้นลงโดยมีการสร้างอุโมงค์ลอดภูเขา อุโมงค์ไห่วานมีความยาว 7 กิโลเมตร ..

เป็นอุโมงค์ที่เดินทางกลับจากเว้เข้าดานัง
การเดินทางระหว่างดานังสู่เว้ ช่วงขาไปจะเดินทางเลาะชายทะเลซึ่งจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามพร้อมแวะพักระหว่างทางของจุดชมวิวเป็นระยะ

ในช่วงต้นของการเดินทางจะเป็นถนนเรียบริมทะเล

ช่วงกลางจะเป็นเขา

จุดชมวิววันนี้อากาศปิดเลยมองไม่เห็นวิว

ช่วงปลายการเดินทางข้ามสะพานสู่เว้

ที่พักทานอาหารกลางวันพร้อมชมวิว
เป็นตลาดที่ มีสินค้าหลากหลายตั้งแต่พืชผักผลไม้สด แห้ง เครื่องใช้ต่างๆ จนกระทั่งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางมีให้เลือกซื้อและต่อรองตามความชอบ

ตลาดใหญ่มีขายทุกอย่างเหมือนดองบาที่เว้

สินค้าในชั้นที่หนึ่งจะเป็นของสด ของแห้ง

บรรยากาศภายในตลาด
ย่านเมืองเก่าฮอยอัน ได้รับการประกาศจาก องค์การยูเนสโก้ ให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงามและเก่ารวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่น

ถนนในเมืองตกแต่งสวยงามเดินไม่ร้อนโดยเฉพาะตอนบ่ายๆ

สัญญาลักษณ์ที่นี่และมีขายทั่วไปเป็นโคมไฟ
สะพานที่มีแบบฉบับในการสร้างที่โดดเด่น สร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นในพุทธศตวรรษที่ 23 ด้วยรูปทรงโค้งของตัวสะพานและหลังามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นลูกคลื่นที่ต่อเชื่อมระหว่างเขตชุมชนชาวจีนและญี่ปุ่น

สะพานเชื่อมระหว่าง 2 ชนชาติ
สมาคมฟุกเกี๋ยน
วัดที่นับเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันหรือโฮ่ยอาน ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388 - 2428 ถือเป็นสมาคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน โดยพื้นที่สมาคมใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากมณฑลฟุกเกี๋ยนที่มีพื้นเพและแซ่เดียวกัน เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษในตระกูลของตน

สร้างเพื่อเป็นที่รวมของคนตระกูลเดียวกันแต่เดี๋ยวนนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตไปแล้ว

มังกรเคลือบแก้วสวยงามตามท้องเรื่องด้านหน้าอาคาร
บ้านเลขที่ 101 ซึ่งเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่ 2 ชั้น และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 รุ่นภายในแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับประโยชน์การใช้สอยที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ห้องสมุด ห้องรับแขก และห้องครัว การเยี่ยมชมบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลต่างๆ บนถนนเส้นนี้ถือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ บ้านเก่าแก่ที่ยังคงความงดงาม ซึ่งมีอยู่หลายหลัง

อีกตำนานหนึ่งของสถานที่ห้ามพลาดเมื่อเยือนฮอยอัน
แม่น้ำที่เป็นหลักในการหล่อเลี้ยงเมืองฮอยอันทั้งทางด้านเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะยามเย็นสองฟากฝั่งจะคราคร่ำไปด้วยชาวฮอยอันและนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ยามเย็นไม่ต้องไปทานข้าวที่ใหนสองฝั่งมีร้านอาหารอร่อยๆให้บริการพอเพียงกับนักท่องเที่ยว

แม่น้ำที่เป็นหลักในการหล่อเลี้ยวชาวฮอยอัน

อีกหนึ่งของควาใสำคัญของทูโบนคือ กิจกรรมท่องเที่ยว

กิจกรรมท่องเที่ยวช่วงบ่ายในทูโบน
หนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไป ฮอยอันในอดีตนั้น เรือตะกร้า เอาไว้ใช้ขนของระหว่างเรือลำใหญ่ ลักษณะจะเป็นตระกร้าไม้ไผ่สานครึ่งวงกลม ทาน้ำยาเคลือบกันน้ำ ในปัจจุบันนำมาใช้ในการท่องเที่ยว พานักท่องเที่ยวนั่งเรือตะกร้า ล่องไปตามแม่น้ำชมระบบนิเวศน์และธรรมชาติ

จากการขนถ่ายสินค้ากลายเป็นกิจกรรมท่องเที่ยว

การล่องเรือตะกร้าไปตามลำคลอง

ล่องจากคลองมาสู่ปากแม่น้ำแล้ววนกับสู่จุดเริ่มต้น
ชื่อเดิมเรียกว่า ไซ่ง่อน Saigon เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ทางเวียดนามตอนใต้และเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ ในอดีตเมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามใต้ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังจากการรวมประเทศจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโฮจิมินห์ตามชื่อของผู้นำเพื่อเอกราชเวียดนามคือประธานาธิยดีโฮจิมินห์

ด้านหน้าอาคารไปรษณีย์กลาง
สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ใช้เป็นกองบัญชาการทหาร สถานที่ประชุมผู้นำคนสำคัญ และนำชมห้องบัญชาการลับต่างๆ ภายในทำเนียบ

ตัวอาคารเมื่อมองผ่านจากบริเวณสนามหญ้า

เมื่อมองออกไปด้านนอกก็จะร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่

ห้องประชุมใหญ่ภายในอาคาร
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมหลักฐานของความโหดร้ายของสงครามในเวียดนาม เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนโฮจิมินห์ ซิตี้ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ถนน Vo Van Tan หน้าพิพิธภัณฑ์มีอาวุธสงครามตั้งแต่แสดงอยู่หลายชิ้น เช่น เครื่องบินรบ ปืนใหญ่ และเครื่องกิโยตินที่ใช้ตัดคอนักโทษฝรั่งเศสที่นำมาใช้ในเวียดนามข้างในพิพิธภัณฑ์แสดงรูปถ่ายและประจักษ์พยานของความเหี้ยมโหดทารุณของสงครามที่ได้เกิดขึ้นในเวียดนาม

การทรมารเชลยในสมัยสงครามเวียดนาม

เครื่องบินที่ใช้ในสมัยสงคราม

อาวุธต่างๆที่โชว์ในพิพิธภัณฑ์
ไปรษณีย์กลางเวียดนาม
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม มีการออกแบบก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส และได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม มีการออกแบบก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส และได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444

บริเวณภายในสวยงาม
ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์อื่นๆ เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย

โบสถ์มี่สร้างเลียนแบบนอร์ทเทอดามในฝรั่งเศส
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็กๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง สวยงามในสไตล์ฝรั่งเศส

อนุเสาวรีย์อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์
เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเวียดนามที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมาเยือน อยู่ห่างจากโฮจิมินห์ ซิตี้ เพียง 70 กิโลเมตร เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ในการสู้รบระหว่างทหารของเวียดกง กับ ทหารอเมริกัน และพันธมิตรโดยทหารเวียดกง ใช้ยุทธวิธีสู้รบด้วยการขุดอุโมงค์ใต้ดินเป็นที่ซ่อนตัวและ อุโมงค์นี้ขุดโดยชาวบ้านที่มีเพียงจอบเสียมเป็นเครื่องมือ ค่อย ๆ ขุดดินแล้วใส่ตะกร้าลำเลียงออกมาทิ้งข้างนอกทุกวัน สร้างเส้นทางใต้ดินเชื่อมติดต่อกันเป็นโครงข่ายกว้างขวาง ความยาวถึง 250 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่าแสนไร่

รูอุโมงค์ของจริงสมัยสงครามเล็กมาก

อุโมงค์มี่ขยายแล้วเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองลอดดู

สถานที่นั่งชมภาพยนต์สารคดีสมัยสงคราม

เรือขนาดใหญ่ที่ใช้ล่องตามลำน้ำไซง่อนในการทานอาหารเย็น

บนโต๊ะอาหารระหว่างการล่องเรือ
เมืองชายทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากไซ่ง่อน เดินทางสะดวกมีชายหาดที่ยาวมากและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง

บริเวณชายหาดอีกหาดหนึ่งหลังจากผ่านหาด หวุงเต่า บีช

ท้อปวิวหวุงเต่า บีช
เป็นที่ประทับหลังเสร็จสิ้นภาระกิจในช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ชมจะเป็นของดั้งเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ชุดรับแขก ชุดพักผ่อน นั่งเล่น การเข้าชมจะมีพลาสติกใส่คลุมรองเท้า เพื่อป้องกันการสึกกร่อนของพื้นและรักษาความสะอาด

บันใดขึ้นชมวังด้านหน้าที่ติดกับชายหาด

ห้องนอนของจักพรรดิ์เวลาเสด็จมาพักที่นี่

มุมมองภาพด้านหนัาวังซึ่งหันหน้าสู่ทะเล
ตามเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เป็นการสร้างวัดเพื่อเก็บกระดูกปลาวาฬ ที่ได้ช่วยเหลือและป้องกันชาวประมง ให้พ้นจากอันตรายทั้งหลายขณะออกหาปลา ภายในวัดจะมีตู้ใส่กระดูกปลาวาฬไว้เพื่อระลึกถึงความดี

บริเวณส่วนหน้าของอาคารวัดปลาวาฬ

โครงกระดูกปลาวาฬ
เป็นรูปอนุเสาวรีย์พระเยซู ยืนกางแขนตระหง่านบนเนินเขาด้านในตัวพระเยซูจะโล่งมีบันใดขึ้นสู่ด้านบนที่เดินทางสวนกันได้ สามารถขึ้นได้ถึงส่วนบ่า และยืนดูวิวชายหาดชายทะเลหวุงเต่าได้อย่างสวยงาม แต่การเดินทางขึ้นไปนั้นต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแรงพอสมควร

รูปพระคริสต์ที่มีบันใดทางขึ้นด้านในจนถึงใหล่ได้เลย

คณะลูหค้าถ่ายรูปเป็นที่ระลีกตรงทางขี้น
เป็นการสร้างจุดท่องเที่ยวให้น่าสนใจโดยจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขา และมีเครื่องเล่นต่างไว้สำหรับนักท่องเที่ยวได้สนุกสนานกัน

กระเช้าความจุประมาณ 6 ท่านให้บริการขึ้นลง

รถเลื่อนเป็นอีกเครื่องเล่นหนึ่งที่สร้างความตื่นเต้าให้นักท่องเที่ยว

แต่ถ้าชอบแบสบายๆก็ต้องรถม้านี่เลย

โรงภาพพยนต์ 5D เข้าดูแล้วตื่นเต้นดี

พระสังข์กัจจายภายในสวนสนุก
เป็นเมืองทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 18 ถึง 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในเมืองดาลัด คือ 27 องศาเซลเซียส และต่ำสุดคือ 6.5 องศาเซลเซียส ชาวฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมสร้างเป็นเมืองพักตากอากาศในปี พ.ศ. 2453 บรรยากาศบ้านเมือง เนื่องจากสภาพอากาศมีความหนาวเย็นตลอดทั้งปี ตึกอาคารจึงถูกออกแบบสไตล์ยุโรป และมีแม่น้ำอยู่กลางเมือง ทำให้บรรยากาศเมืองนี้โรแมนติกสมคำร่ำลือ


อยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร น้ำตกแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีความสวยงามและหลายชั้น มีความสูง ประมาณ 20 เมตร ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี
เนื่องด้วยสภาพโดยรอบเป็นป่าเขาจึงมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวอยู่ตลอดเวลา

ตัวตันน่ำทีไหลลงมาจากยอดเนินเขา

การตกแต่งบริเวณเพื่อให้น้ำใหลตามผังที่กำหนด

ต้องนั่งเคเบิลคาร์เพื่อลงไปที่น้ำตก

ส่วนด้านซ้ายส่วนที่ลงสู่น้ำตก ส่วนด้านขวาใช้สลิงดึงขึ้น
สร้างขึ้นในปี 2509 ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบซวนเฮืองใจกลางเมืองดาลัด สวนแห่งนี้ จะได้พบพรรณไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น และกล้วยไม้ รวมไปถึงดอกไม้กว่า 300 สายพันธุ์ ที่ผลัดกันเบ่งบานในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปในรอบปี หากท่านไปเยือนสวนแห่งนี้ในช่วงเวลาใดๆก็ตาม ท่านจะได้พบกับดอกไม้สวยๆ หลากสีสัน

ซุ้มประตูทางเข้าที่ตกแต่งไว้ด้วยต้นไม้และดอกไม้

สวนดอกไม้บริเวณด้านหลังซุ้มดอกไม้

ด้านในสุดของสวนจะเป็นทะเลสาบมีกิจกรรมให้เล่น

จุดถ่ายรูปไกล้ทะเลสาบ
ตั้งอยู่ภาคตะวันออกของเมืองดาลัด ห่างจากเมืองดาลัด 12 กิโลเมตร จะทำให้คุณได้เห็นทัศนียภาพที่งดงามของป่าสนสีเขียวชอุ่ม ทะเลสาบที่ระยิบระยับเป็นประกายเมืองที่น่าหลงใหล ไปจนถึงหมู่บ้านต่างๆ ด้านล่าง ใช้เวลาในการชมทัศนียภาพอันงดงามและเก็บภาพสักสองสาม
รูปบนจุดชมวิว ณ เรดาร์พีค

เนินด้านหน้าสำนักงานแสดงสัญญาลักษณ์ เขาลังเบียง

รถจี๊บที่จอดรอนักท่องเที่ยวคันหนึ่งนั่งได้ 6 คน

เส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาลังเบียงใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที

วิวสำหรับถ่ายรูปเห็นเมืองดาลัดอยู่ด้านล่าง

เมืองดาลัดซึ่งเต็มไปด้วยเรอนกล้วยไม้ ดอกไม้ และผักต่างๆ
หรือฮังหงา (Hang Nga) ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนิทานเรื่อง อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์ (Alice in Wonderland) เป็นบ้านต้นไม้ที่ไม่ได้สร้างจากไม้ทั้งหมดซะทีเดียว
เพราะบางส่วนสร้างขึ้นจากคอนกรีตและวัสดุอื่นๆ เพื่อความแข็งแรงและง่ายต่อการดัดแปลงโครงสร้าง



พระราชวังแห่งนี้ เป็น 1 ใน 3 ของพระราชวังองค์จักรพรรดิ์เบ๋าได๋ ซึ่งเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน (ราชวงศ์สุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเวียดนาม) ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ใครอยากชมว่าห้องนอนกษัตย์เป็นอย่างไรก็ห้ามพลาดที่นี่เลยทีเดียวนอกจากนั้นในตอนท้าย นักท่องเที่ยวยังมีโอกาสแต่งตัวเป็นกษัตริย์และราชินีเพื่อถ่ายรูปเก๋ๆ (มีค่าใช้จ่าย

ประตูด้านหน้าแต่งสีทองรับตรุษจีน

ตัวอาคารที่เป็น King Palace

ส่วนสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวต้องเช่สชุดถ่ายรูป
ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 กม. สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองดาลัด เนื่องจากความสวยงามทางทัศนียภาพและความโรแมนติกของสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ด้วยความงดงามของหุบเขาที่ล้อมรอบไปด้วยป่าสนอันสวยงาม และยังมีทะเลสาบดาเทียน (Da Thien Lake) อันเงียบสงบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1972 ทำให้หุบเขาแห่งนี้มีเสน่ห์มากขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมธรรมชาติไปตามเส้นทางโดยรอบๆ หุบเข

หลังจากผ่านประตูทางเข้ามาแล้วจะเจอซุ้มหัวใจต้อนรับเลย

ทางเข้าซุ้มวงกต ถ้ามีเวลาก็ทดสอบได้

ยืนบนเนินเห็นทะเลสาบชัดเจนเป็นพึ้นที่ส่วนที่ 2

ที่นี่จะมีเรือถีบให้ได้พักผ่อนสบายๆ

สวนส่วนที่สองสวนสวยงาม

ส่วนท้ายสุดที่ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปต่อจะเป็นสวนไฮเดรนเยีย

สวนสวยงามหลากสี
เป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่ผู้คนส่วนใหญ่ปลูกดอกไม้ขาย ที่นี่จึงมีสวนดอกไม้ที่จัดว่าใหญ่มาก รวมพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ และเป็นแหล่งดอกไม้ส่วนใหญ่ของเมืองดาลัด นอกจากดอกไม้นานาพันธ์แล้ว ยังมี ผัก ผลไม้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมพร้อมทั้งมีของที่ระลึกจำหน่าย

สวนดอกไม้ที่ใหญ่มากๆ

ในช่วงแรกเข้าไปถึงก็ตระกาลตาเลยทีเดียว

เดินพ้นสวนดอกไม้จะเจอแปลงใหญ่อีกแปลงหนึ่ง

ดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งสวยงามมากและยังมีต่ออีกมากรวมทั้งร้านเครื่องดื่ม
น้ำตกธรรมชาติที่มีผาหินลดหลั่นกันมาอย่างยิ่งใหญ่ การท่องเที่ยวน้ำตกแห่งนี้จะต้องเดินลงไปยังด้านล่างถึงจะสามารถมองเห็นตัวน้ำตกได้อย่างชัดเจนเพราะโซนที่เราจอดรถจะเป็นด้านบนของน้ำตก เวลาเดินลงก็ต้องระมัดระวัง เนื่องจากมีความลาดชันและมีโขดหินมาก แนะนำให้ใส่รองเท้าที่แน่นและพื้นไม่ลื่น

น้ำตกลงมาค่อนข้างแรง

ด้านหน้าน้ำตกซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการเดิน

เจ้าแม่กวนอิมที่วัดไกล้น้ำตกช้าง
วัดพุทธในนิกายเซนแบบญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนเทือกเขาเฟืองฮว่าง ประมาณ 10 กม. จากดาลัด ภายในบริเวณวัดนอกจากจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีการจัดทัศนียภาพโดยรอบด้วยสวนดอกไม้ที่ผลิดอกบานสะพรั่ง นับได้ว่าเป็นวิหาร ที่ได้รับความนิยมและงดงามที่สุดในเมืองดาลัด โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการนั่งกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ขึ้นไปชมภาพบรรยากาศจากบนที่สูงได้

ซุ้มทางเข้าจะดูเรียบง่ายสวยงามอีกเช่นกัน

หอระฆังยกพื้นสูงระฆังใหญ่

ตัวโบสถ์เรียบง่ายไม่ซับซ้อนยุ่งยาก

พระพุทธรูปพระประธานภายในศาลาโบสถ์
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งในเมืองดาลัด อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมความสวยงามด้านบนน้ำตก มีกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ให้บริการ หรือท่านสามารถเดินเท้าด้วยตนเอง ก็จะได้สัมผัสธรรมชาติ และสนุกสนานกับการปีนเขาชมวิว ซึ่งใช้เวลาไม่นาน

ประตูทางเข้าด้านหน้าค่าเข้าชม 50.000 ด่ง

อีกมุมหนึ่งจากสะพานข้ามคลองร่มรื่นสวยงาม

ช่วงเวลานี้น้ำตกจะน้อยหน่อย

ภายในบริเวณมีเรือแคนูไว้ให้นักท่องเที่ยวได้พายเล่น
วัดศาสนาพุทธนิกายเซนแห่งนี้ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดประมาณ 7 กิโลเมตร มีอีกชื่อเรียกว่า "วัดเจดีย์มังกร" เพราะมีเจดีย์มังกรขนาด 1 ชั้น ความสูง 37 เมตร โดดเด่นและงดงามด้วยลวดลายกระเบื้องเคลือบสุดวิจิตร นอกจากนั้นยังมีวิหารเจ้าแม่กวนอิม ให้นักท่องเที่ยวได้แวะสักการะและขอพร

ด้านหน้าของตัวโบสถ์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน

อีกมุมหนึ่งที่สวยงามภายในข้างตัวโบสถ์

ศิลปะที่บรจงสร้างไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชมกัน
เมืองตากอากาศชั้นดีของประเทศเวียดนาม ไม่ควรพลาดชายหาดและทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล ในภูมิภาคภาคกลางตอนใต้ ของเวียดนามห่างจากเมืองโฮจิมินห์ ประมาณ 230 กิโลเมตร โดยรถใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง

พระอาทิตย์ยามเช้าที่มุยเน่ Sea Beach
ทะลทรายขาวหรือ White Sandune เนินทราย ที่ใหญ่ที่สุดของ มุยเน่ อยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน มุยเน่ 30 กม ทะเลทรายขาว (Doi Cat Trang) กองภูเขาทรายสีขาว ซึ่งใหญ่ที่สุดของมุยเน่ มี Sand Dune หรือ ภูเขาทรายสูงกว่า 40 เมตร ทำให้คนที่ขึ้นไปยืนบนยอดเนินทราย กลายเป็นมดไปเลยทีเดียว

มหัสจรรย์ธรรมชาติทะเลทรายขาว
ทะเลทรายอีกแห่ง ของมุยเน่ แต่ทรายกลับเป็นสีแดง ยิ่งยามเช้าๆ ฟ้าใสๆ จะตัดกับทรายสีแดง ทำให้แป๊ด ขึ้นมาเลยทีเดียว ทะเลทรายแดง นั้นอยู่ไม่ห่างจากฝั่งทะเลมากนัก ที่นี่จะมีเด็กๆชาวเวียดนามพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก คอยตามตื้อให้บริการกระดานเลื่อนสนนราคาค่าบริการต้องต่อรองกันเอง

ยามเช้าที่นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาชมความสวยงามของทะเลทราย

อีกมุมหนึ่งของทะเลทรายแดง
เป็นโตรกผาของลำธาร หากมองจากมุมสูงจะสวยมาก จะเป็นลำธารน้ำตื้นๆ สามารถเดินลุยน้ำเย็นๆชมธรรมชาติที่แปลกตา ระยะทางที่เดินเล่นประมาณ 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง แฟรี่สตรีมนี้เกิดจากลำธารเล็กๆ ไหลผ่านภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย เซาะเป็นร่องโตรกว้างกว่า 20 เมตร เปิดให้เห็นชั้นดิน และทรายหลากสี ดูแล้วแปลกตาดีไม่น้อยเลย

หากบรรยากาศเป็นใจเดินชมธรรมชาติแบบสบายๆ

ความสวยโดยธรรมชาติสร้างสรรค์มันเป็นอะไรที่มหัสจรรย์จริงๆ
จะเป็นส่วนของชายหาดที่ชาวประมงกลับจากหาปลาเพื่อนำปลามาขายส่งตลาดและลูกค้ทั่วไป

ตอนเช้าเมื่อชาวประมงกลับเข้าฝั่ง

เรือประมงชายฝั่งเข้ามาเทียบท่าเพื่อนำปลาลงมาจำหน่าย

เด็กนักเรียนสาวชาวเวียดนามแต่งชุดนักเรียนอ๋าวใหญ่ ไปโรงเรียนที่มุยเน่
- ยาประจำตัว หากท่านมีโรคประจำตัว ควรเตรียมยาไปให้เพียงพอ
- สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าเวียดนามได้ไม่เกิน 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- นำเข้าบุหรี่ได้ไม่เกิน 200 มวน และแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 2 ลิตร
- เวียดนาม มีกฎหมายห้ามนำเข้าหนังสือที่มีข้อความต่อต้านรัฐบาล สื่อลามกอนาจาร อาวุธปืน และห้ามนำออกวัตถุโบราณจากเวียดนาม ไม้ท่อน ไม้ซุง ไม้สัก รวมถึงไม้แปรรูปและหวาย สัตว์ป่า สัตว์ และพันธุ์ไม้ที่มีค่าและหายาก
- ห้ามนำเข้า อาวุธ วัตถุระเบิด อุปกรณ์ทางการทหาร ยาเสพติด สารเคมี ประทัด ดอกไม้ไฟ วีดีโอเทป สิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมและเป็นภัยต่อการเมืองและความมั่นคง สื่อลามกอนาจาร
- หลีกเลี่ยงการโดยสารรถสามล้อถีบในเวลากลางคืน แท็กซี่จะปลอดภัยกว่า แม้ว่าบางครั้งคนขับรถแท็กซี่จะพานักท่องเที่ยวอ้อมออกนอกเส้นทางเพื่อให้ค่ามิเตอร์สูงขึ้น
- ควรใช้ความระมัดระวังในขณะข้ามถนนให้มาก
- เวียดนามไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพอาคารที่ทำการต่างๆ ของรัฐ
- การนำวัตถุโบราณออกนอกเวียดนามเป็นการผิดกฎหมาย เว้นแต่จะมีหนังสืออนุญาตจากกระทรวงวัฒนธรรมของเวียดนาม ดังนั้นเมื่อซื้อสินค้าที่เป็นวัตถุโบราณหรือเลียนแบบ ควรขอใบเสร็จรับเงินจากร้านค้ากับใบรับรองการส่งสินค้าออกมาด้วย มิฉะนั้นอาจจะมีโทษปรับและถูกริบสินค้า
- นำเครื่องคิดเลข ติดตัวไปด้วยทุกครั้ง เวลาเราจะซื้อของ จะได้กดให้แม่ค้าดู เพราะแม่ค้าส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
- ซื้อของ ต่อลงมา 50% อย่างดีก็แค่โดนไล่ออกมาเท่านั้นแหละ มีหลายเจ้าให้เลือก ไม่ต้องง้อ ส่วนมากเขาเรียกกลับมาซื้อ ไม่เรียกก็เดินไปหาร้านอื่น
- บริการ, ซื้อของ, อาหาร ตกลงราคาก่อน ใช้ก่อน จ่ายทีหลัง
- เช่ารถ ถ่ายรูปรถก่อนเอาออกไป + ให้เจ้าของร้านดูรูปด้วย ป้องกันมั่วว่าเราทำเสียทีหลัง พร้อมถ่ายรูปผู้ให้บริการไว้เป็นหลักฐาน
- ถ่ายรูปคนในเวียดนาม ให้ระวัง 2 อย่างคือ โดนด่ากับ เก็บเงิน ... หากโดนค้อนเฉยๆ ก็ขอโทษเขาไป
- บทลงโทษของเวียดนามค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะในคดียาเสพติด การฉ้อโกงหน่วยงานของรัฐมีบทลงโทษถึงประหารชีวิต
- หากท่านจะอยู่อาศัยในประเทศเวียดนาม เป็นระยะเวลานาน โปรดแจ้งชื่อ และที่อยู่ ต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ/สถานกงสุลฯ เพื่อประโยชน์ในการติดต่อ หรือให้ความช่วยเหลือในกรณีจำเป็น
- สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ (Royal Thai Consulate-General)
77 Tran Quoc Thao Street, District 3, Ho Chi Minh City
โทรศัพท์ (84 8) 932 7637-8
โทรสาร (84 8) 932 6002
เวลาทำการ วันจันทร์-ศุกร์ 08.30-12.00 น.และ 13.30-17.00 น.
กรณีฉุกเฉินนอกเวลาทำการ (001 84 90) 370 3677 (โทรจากประเทศไทย) (090) 370 3677 (โทรในประเทศเวียดนาม)
E-mail: mailto:thaidkr@telecom-plus.sn